ลู่เจียวเดินเข้าครัวพร้อมกับสองลูก
ซีซวนกับชิงอีพวกเขาตื่นเต้นที่เห็นผู้เป็นแม่เตรียมทำอาหาร
แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มาก่อกวนพวกเขาแค่ไปนั่งมุมหนึ่งของห้องครัว
มองดูเธอทำอาหารเงียบ ๆ ลู่เจียวมองพวกเขาแล้วก็ยิ้มให้เล็กน้อย
รู้สึกได้ว่าพวกเขาเป็นเด็กดีมากที่ไม่ทำให้เธอต้องวุ่นวายระหว่างทำอาหาร
"แม่ทำอะไรเหรอครับ?" ซีซวนถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
"แม่กำลังจะทำของอร่อยให้กินจ้ะ"
ลู่เจียวตอบขณะที่กำลังก่อไฟในเตา
เธอตั้งหม้อน้ำขึ้นบนเตา รอให้น้ำเดือด
ระหว่างนั้นหยิบเผือกที่ล้างแล้วมาปอกเปลือก
ลู่เจียวเริ่มปอกเปลือกเผือกหัวใหญ่ด้วยความระมัดระวัง มือค่อย ๆ
ล้างเผือกให้สะอาดเพื่อเอายางออก หลังจากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นใหญ่พอเหมาะ
วางลงบนเขียงอย่างเป็นระเบียบ เมื่อหม้อน้ำเริ่มเดือดก็ยกเผือกที่หั่นเตรียมไว้ขึ้นนึ่ง
"อีกไม่นานก็ได้กินเผือกนึ่งแล้วนะจ๊ะ"
ลู่เจียวหันไปบอกลูกของเธอ พวกเขามองมาด้วยตาเป็นประกาย
ระหว่างรอให้เผือกนึ่งสุก
เธอเตรียมตัวทำเมนูเผือกทรงเครื่อง
เมนูนี้เป็นที่เธอถนัดตั้งแต่ชาติก่อนและมั่นใจว่ามันจะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนที่นี่
เริ่มจากหั่นเผือกเป็นเส้นเล็ก ๆ
ลองเทียบปริมาณเผือกกับพวกเนื้อสัตว์ที่จะใส่แล้วก็พยักหน้าพอใจ
ต้องเข้าใจก่อนว่าในชาติก่อนเธอใส่กุนเชียงกับกุ้งแห้งในปริมาณมากพอๆ
กับเผือก ทว่าไม่ใช่ในตอนนี้ ถ้าจะขายให้กับชาวบ้านในชนบทแบบนี้
ราคาต้องไม่สูงเกินไป จึงลดปริมาณเนื้อสัตว์ลง
แค่ให้มีกลิ่นและรสชาติจากเนื้อเท่านั้น จากนั้นหั่นกุนเชียงเป็นชิ้นเล็ก ๆ
คล้ายลูกเต๋า แล้วหยิบกุ้งแห้งออกมา
"แม่คะ กลิ่นเหมือนเนื้อเลยค่ะ!"
ชิงอีพูดขึ้นพร้อมสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศขณะที่เธอเริ่มผัดกุนเชียงและกุ้งแห้งในกระทะ
ลู่เจียวหัวเราะ
"แม่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อเนื้อหรอกลูก แต่กุนเชียงก็พอแทนได้บ้าง"
บอกพวกเขาพร้อมกับพลิกกุนเชียงและกุ้งแห้งในกระทะไปมาให้มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วครัว
เมื่อกุนเชียงและกุ้งแห้งสุกพอดี
เธอค่อยเทมันลงในเผือกที่หั่นไว้ จากนั้นก็เติมเกลือ น้ำตาล
และเครื่องเทศเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
ตามด้วยแป้งมันและแป้งข้าวเหนียวเพื่อให้เนื้อเผือกนุ่มและเหนียวเล็กน้อย
ก่อนจะคลุกเคล้าทุกอย่างเข้ากันอย่างดี
"มันเรียกว่าอะไรเหรอครับ?"
ซีซวนถามอีกครั้ง
"เผือกทรงเครื่องจ้ะ" เธอบอกเขา
"มันทำง่ายแต่อร่อย กินแทนข้าวหรือของว่างก็ได้"
ลู่เจียวลุกขึ้นไปหาสิ่งที่จะเอามาเป็นภาชนะสำหรับนึ่ง
เจอถาดสำหรับนึ่งใบหนึ่ง เธอทาน้ำมันในถาดเล็กน้อย
นำแป้งที่ผสมไว้ลงไปในถาดแล้วกดให้แน่น
จากนั้นโรยงาขาวไว้ด้านบนเพื่อให้มีรสชาติหอม ก่อนจะนำไปนึ่งด้วยไฟแรงอีกประมาณ 30
นาที
ระหว่างจัดการทุกอย่าง
เผือกนึ่งที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ก็สุกพอดี
กลิ่นหอมฟุ้งออกมาจากหม้อนึ่งเมื่อเปิดฝาออก
ลู่เจียวหยิบเผือกนึ่งขึ้นมาแล้วตักใส่จานยื่นให้ลูก
"กินรองท้องไปก่อนนะ
อีกไม่นานเผือกนึ่งทรงเครื่องจะเสร็จแล้ว ตอนนั้นจะอร่อยกว่านี้อีกแน่!"
ลู่เจียวบอกลูก ๆ ด้วยรอยยิ้ม
เด็กทั้งสองรับจานเผือกจากเธอพร้อมรอยยิ้มกว้าง
พวกเขาเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย มองดูพวกเขาด้วยความรู้สึกดีใจ
ไม่มีอะไรทำให้มีความสุขมากไปกว่าการเห็นลูกมีความสุขแบบนี้
เมื่อจัดการกับพวกเขาเสร็จ ลู่เจียวก็ตักเผือกนึ่งมากินบ้าง
ไม่น่าเชื่อว่าเผือกจะอร่อยขนาดนี้ ทั้งที่มันเป็นแค่เผือกนึ่งธรรมดา
กินเผือกนึ่งจนพอใจค่อยลุกขึ้นไปทำความสะอาดห้องครัว
เอาจานชามไปล้าง เผือกทรงเครื่องในหม้อนึ่งก็ยังคงส่งกลิ่นหอมออกมา
เธอหันไปมองหม้อนึ่งที่ตั้งอยู่บนเตาด้วยความรู้สึกว่าเหลือเวลาอีกไม่นานมันคงจะสุก
จึงล้างมือแล้วเดินออกไปหยิบผ้าห่มเก่าที่ใช้นอนเมื่อคืน นำไปตากแดด
"ซีซวน ชิงอี ช่วยแม่หน่อยได้ไหม?"
ลู่เจียวพูดขณะพับผ้าห่ม
ซีซวนและชิงอีลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขารีบหยิบผ้าห่มของตนเอง ช่วยเธอหอบออกไปตากแดดนอกบ้าน แดดเช้านี้กำลังดี
มีลมพัดเบา ๆ พอให้ผ้าห่มที่เปียกชื้นจากอากาศหนาวแห้งเร็วขึ้น
"เก่งมากลูก วันนี้ลูกช่วยแม่ได้เยอะเลย"
ลู่เจียวเอ่ยชมลูก ๆ ด้วยรอยยิ้ม
"แม่จะให้พวกเราช่วยอีกไหมครับ?"
ซีซวนถามพลางด้วยความกระตือรือร้น
"งั้นช่วยแม่ถูพื้นหน่อยดีไหม?"
ลู่เจียวบอกพลางยิ้มไปด้วย
เด็ก ๆ ก็พยักหน้าอย่างเต็มใจ
พวกเราทั้งสามช่วยกันทำความสะอาดบ้าน เด็ก ๆ
ใช้ไม้ถูพื้นเดินไปทั่วห้อง ขณะที่ลู่เจียวเก็บกวาดสิ่งของอื่นในบ้าน
เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในครัวเพื่อดูเผือกทรงเครื่อง
ลู่เจียวรีบยกหม้อนึ่งลงจากเตา
และนำถาดเผือกทรงเครื่องออกมาวางบนโต๊ะ เด็ก ๆ
ที่นั่งรอลุ้นอยู่รีบเข้ามาดูด้วยความตื่นเต้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ของเผือกทรงเครื่องที่สุกพอดีลอยกระจายไปทั่วห้องครัว
"กลิ่นมันหอมจังเลยค่ะแม่!"
ชิงอีกล่าวพลางสูดจมูก ท้องของหล่อนร้องขึ้นเสียงดัง
ชิงอีเอามือกุมท้องแล้วหันมามองแม่ด้วยสีหน้าอาย ๆ
ลู่เจียวยิ้ม "อดใจรอนิดเดียวนะชิงอี
มันยังร้อนอยู่เลย"
"แม่ครับ ดูแล้วน้องสาวคงรอไม่ไหวแล้ว"
ซีซวนพูดพลางมองหน้าน้องสาว "แต่มันร้อนมากนะ ต้องรอให้เย็นลงก่อน"
ลู่เจียวนั่งมองพวกเขารอเผือกทรงเครื่องหายร้อนอย่างตั้งใจ
กลิ่นหอมของเผือกผสมกับกุนเชียงและกุ้งแห้งทำให้ท้องของพวกเธอต่างหิวไปตาม ๆ กัน
แต่ทันใดนั้น เสียงแผดตะโกนดังมาจากนอกบ้าน
ลู่เจียวชะงักเมื่อได้ยินเสียงและรู้ทันทีว่าใครกำลังเดินเข้ามา
"ลู่เจียว! ทำอะไรอยู่ในบ้าน
กลิ่นอะไรหอมออกมาถึงข้างนอก?" เสียงนั้นเป็นเสียงของแม่สามี
แม่เลี้ยงของกัวหยาง ลู่เจียวเงยหน้ามองลูกที่นั่งเงียบไปทันที
เธอลุกขึ้นเดินไปหน้าบ้าน
แม่สามีก็เข้ามาในบ้านอย่างไม่รอช้า จางซูหลินมองไปรอบ ๆ บ้าน เห็นผ้าที่ผึ่งไว้
และเห็นเผือกที่เก็บมาจากป่าเมื่อเช้านี้ ใบหน้าก็บึ้งตึงทันที
"เผือกพวกนี้ ทำไมไม่แบ่งให้บ้านหลัก?"
แม่สามีพูดด้วยเสียงอันดัง
รู้สึกถึงความไม่พอใจที่ออกมา
"ฉันเก็บเผือกมาได้เองจากป่า
และก็ต้องใช้ทำอาหารเลี้ยงลูก ๆ" ลู่เจียวอธิบายอย่างใจเย็น
แต่แม่สามีไม่ได้ฟัง
จากนั้นเดินตรงดิ่งไปที่ถาดเผือกทรงเครื่องที่เพิ่งทำเสร็จ
กลิ่นหอมลอยมาเข้าจมูกทำให้จางซูหลินหยุดมองถาดนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ก่อนเอื้อมมือไปหยิบถาดเผือกขึ้นมาโดยไม่รอให้ลู่เจียวพูดอะไร
"วางเผือกของฉันลงนะ!"
ลู่เจียวรีบพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
พลางรีบคว้าไม้กวาดขึ้นมาชี้ไปที่แม่สามี
จางซูหลินชะงักมือทันทีเมื่อเห็นท่าทางของลูกสะใภ้
นางไม่เคยเห็นลู่เจียวทำแบบนี้มาก่อน
สะใภ้คนนี้เป็นคนที่หัวอ่อนและไม่กล้าหือกับแม่สามี ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่แม่เลี้ยงก็ตาม
"วางเผือกของฉันลง
ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!" เธอพูดเสียงดัง
น้ำเสียงแสดงถึงความโกรธอย่างชัดเจน
แม่สามีมองหน้าเธอด้วยความตกใจ "นี่แก
กล้าขึ้นเสียงกับฉัน?” จางซูหลินถามด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
ลู่เจียวไม่ถอยและรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากลูกสะใภ้ทำให้จางซูหลินต้องหยุดคิดและรู้ว่าลูกสะใภ้เอาจริง
นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนวางถาดเผือกทรงเครื่อง ท่าทางถือดีหายไปกลายเป็นเสียงร้องไห้
"โอ๊ย! ช่วยด้วย!
สะใภ้ใหญ่บ้านกัวจะฆ่าฉันแล้ว!" แม่สามีร้องตะโกนเดินออกไปนอกบ้าน
พลางทำท่าทางว่าโดนรังแกอย่างหนัก
ลู่เจียวได้แต่ยืนมองด้วยความโมโห
เสียงร้องของแม่สามีดังไปทั่วหมู่บ้าน ชาวบ้านที่กำลังเดินผ่านไปมาต่างหยุดชะงัก
แล้วเดินเข้ามามุงดูสถานการณ์
"แม่เฒ่ากัวรังแกลูกสะใภ้อีกแล้ว!"
เสียงซุบซิบของชาวบ้านเริ่มดังขึ้นขณะที่พวกเขามุงดูเหตุการณ์นี้
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
รู้ดีว่าความเงียบสงบของเช้านี้ได้ถูกทำลายลงแล้วโดยแม่สามี
ที่ไม่เคยหยุดหาวิธีสร้างปัญหาให้ลู่เจียวเลยแม้แต่วันเดียว
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?