“การทำกายภาพบำบัดมีสองทางเลือกครับ ทางแรกคือ คนไข้นอนที่โรงพยาบาลจนกว่าอาการจะดีขึ้นพอจะเดินได้เองโดยใช้ไม้เท้า ซึ่งถ้าเลือกทางนี้ ก็หมายความว่าคนไข้จะอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลตลอดเวลา อีกทั้งยังมีโอกาสฟื้นฟูได้เร็วขึ้น เพราะสามารถทำกายภาพบำบัดได้สะดวก ไม่ต้องเดินทางไปกลับ”
คุณหมออธิบายต่อไป “แต่ถ้าคนไข้เลือกที่จะกลับไปพักที่บ้าน ก็สามารถทำได้ครับ โดยต้องเดินทางมาทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าอาจประหยัดกว่า แต่ข้อเสียคือ คนไข้จะไม่ได้พักขามากพอ เพราะต้องเดินทางไกล อาจเสี่ยงต่อการอักเสบได้”
กัวหยางนั่งนิ่งหลังได้ฟัง คงลังเลระหว่างตัวเลือกที่ได้ยินเหมือนลู่เจียว
“ค่าใช้จ่ายทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันใช่ไหมคะคุณหมอ?” เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ใช่ครับ” คุณหมอพยักหน้า “การนอนโรงพยาบาลเพื่อทำกายภาพบำบัดค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการไปกลับเกือบสองเท่าตัว เพราะมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าห้อง ค่าเตียง นอกจากนี้ยังถือเป็นการใช้ทรัพยากรที่จำกัดของโรงพยาบาลด้วย”
“แต่ข้อดีก็คือ คนไข้จะได้รับการดูแลตลอดเวลา และลดปัญหาการเดินทางไปกลับที่อาจทำให้เกิดอาการอักเสบหรือชะลอการฟื้นตัวลงได้ครับ”
ลู่เจียวหันไปมองสามีที่นั่งนิ่งและแววตาของเขามีความกังวล ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าสองเท่าทำให้เต้องคิดหนัก แต่การอยู่โรงพยาบาลนั้นดูเป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัยมากกว่า
“ถ้าเลือกอยู่ที่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไรคะ แล้วถ้าไปกลับล่ะคะ?”
คุณหมอพยักหน้า “รอสักครู่นะครับ ผมจะไปสอบถามข้อมูลค่าใช้จ่ายมาให้” เขายิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องตรวจ
กัวหยางหันมาสบตาเธอพร้อมถอนหายใจเบา ๆ เขาพูดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจียวเจียว พี่กลัวว่าเราจะไม่ไหว”
“อย่าเพิ่งคิดแบบนั้นเลยค่ะพี่หยาง “ลองฟังตัวเลขจริง ๆ จากคุณหมอก่อนนะคะ ถึงค่าใช้จ่ายจะสูง แต่ถ้ามันจะช่วยให้พี่กลับมาเดินได้อีกครั้ง เราก็ต้องลองคิดให้รอบคอบค่ะ”
ไม่นานนักคุณหมอก็เดินกลับเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ เขานั่งลงก่อนจะหันมามองอย่างจริงจัง “ได้ข้อมูลมาแล้วครับ” เขาพูดขึ้นพลางหยิบแผ่นกระดาษออกมาพลิกดูอย่างละเอียด
“ถ้าคนไข้เลือกที่จะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบหยวนต่อสัปดาห์ครับ รวมทุกอย่าง ทั้งค่ากายภาพบำบัด ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเตียง และค่าดูแลจากพยาบาล”
กัวหยางฟังตัวเลขแล้วดูเหมือนเขาจะตกใจมาก แต่ยังคงฟังต่อ ไม่ได้โต้แย้งอะไรออกไป
“ส่วนถ้าเลือกไปกลับ ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำกายภาพบำบัดอย่างเดียวจะลดลงเหลือประมาณห้าสิบหยวนต่อสัปดาห์ครับ แต่ต้องเสียค่ารถไปกลับ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่เกิดการอักเสบหรือเจ็บเพิ่มเติมจากการเดินทาง”
ตัวเลขที่คุณหมอแจ้งออกมาทำให้ต้องคิดคำนวณใหม่อีกครั้ง หากอยู่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่ามาก แต่ก็สะดวกและปลอดภัยกว่า
“แล้วระยะเวลาในการรักษาล่ะคะคุณหมอ?” ลู่เจียวถามหลังจากฟังข้อมูลค่าใช้จ่ายแต่ละแบบ “ถ้าเลือกนอนโรงพยาบาล ระยะเวลาจะสั้นกว่าใช่ไหมคะ?”
คุณหมอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนตอบ “ถูกต้องครับ การนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของหมอและพยาบาล จะใช้เวลาประมาณสามถึงสี่สัปดาห์ก็จะเริ่มเห็นผลดีขึ้นอย่างชัดเจนครับ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น คนไข้น่าจะสามารถเดินโดยใช้ไม้เท้าช่วยได้ ก็ค่อยกลับไปพักที่บ้านแล้วทำกายภาพเองที่บ้านหรือจะมาที่โรงพยาบาลก็คงไม่มีปัญหาแล้ว”
“แต่หากเลือกแบบไปกลับตั้งแต่แรก จะใช้เวลานานกว่าครับ” คุณหมอเสริม “ต้องประมาณหกถึงแปดสัปดาห์กว่าที่อาการจะดีขึ้น เพราะขาจะไม่ได้รับการพักฟื้นเต็มที่เนื่องจากการเดินทางทุกวัน และอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นเองที่บ้านเพิ่มเติมด้วย”
คำตอบของคุณหมอทำให้ลู่เจียวต้องหันไปสบตากับสามี พลางพยายามคิดว่าทางเลือกไหนจะเหมาะสมที่สุด หลังจากที่คุณหมอแจ้งค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการรักษา หากกัวหยางต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสี่สัปดาห์ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเป็นห้าร้อยหกสิบหยวน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มาก เทียบเท่ากับสามีของเธอต้องทำงานถึงเกือบหนึ่งปีเต็มถึงจะมีรายได้ขนาดนี้
เงินในมือที่มีอยู่จากการที่แม่สามียอมจ่ายให้เป็นจำนวนสามร้อยหยวน รวมกับเงินที่ได้จากการขายเผือกทรงเครื่องอีกเก้าสิบสามหยวน รวมแล้วมีเพียงสามร้อยเก้าสิบสามหยวนเท่านั้น
“คุณหมอคะ ถ้าจะชำระค่าใช้จ่ายในการรักษา จะต้องจ่ายแบบไหนคะ?” หญิงสาวหวังว่าจะมีวิธีแบ่งจ่ายเพื่อให้พอจัดการได้
“สำหรับผู้ป่วยที่รับเข้าเป็นผู้ป่วยใน จำเป็นต้องให้ชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนล่วงหน้าก่อนเข้าพักครับ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ถ้าหากไม่มีการจ่ายเงินครบ ทางโรงพยาบาลก็ไม่สามารถจัดการรับคนไข้ไว้รักษาได้”
ลู่เจียวหัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เงินที่มีไม่พอเลย แต่ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็ไม่อยากปล่อยให้สามีต้องลำบากหรือรอคอย จึงตัดสินใจยื่นข้อเสนอ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอชำระล่วงหน้าเพียงสองสัปดาห์ได้ไหมคะ?” ลู่เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงคงที่ “ตอนนี้ฉันมีเงินพอสำหรับค่ารักษาสองสัปดาห์ และขอเวลาเพิ่มอีกสองสัปดาห์ค่ะ ในช่วงนั้นฉันจะรีบหาเงินที่เหลือมาให้ครบสี่สัปดาห์แน่นอนค่ะ”
คุณหมอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปกติทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องได้รับค่าชำระเต็มจำนวนก่อนครับ หากไม่มีการจ่ายครบ ทางเราจำเป็นต้องขอให้ไปเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือเลือกทางเลือกที่สองแทน”
“คุณหมอคะ...ฉันเข้าใจดี แต่ถ้าให้เรารักษาแบบไปกลับ สามีจะเจ็บมากและอาจจะต้องรักษานานขึ้น การอยู่ที่โรงพยาบาลนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขา ฉันขอสัญญาว่าจะจ่ายส่วนที่เหลือในสองสัปดาห์นี้เอง ถึงเวลาฉันไม่มีเงินจ่ายครบ ฉันยินดีพาสามีกลับบ้านทันที ทางโรงพยาบาลจะไม่เสียหายใด ๆ เลยค่ะ”
คุณหมอฟังอย่างพิจารณาก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ผมเข้าใจข้อเสนอของคุณนะครับ แต่เรื่องการชำระเงินเป็นนโยบายของแผนกการเงินโดยตรง ผมคงต้องขอเวลาไปสอบถามและแจ้งเรื่องนี้กับแผนกก่อน”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เมื่ออยู่กันตามลำพังลู่เจียวจับมือสามีไว้แน่น พลางให้กำลังใจเขาและตัวเองเงียบ ๆ อธิษฐานให้โรงพยาบาลเห็นใจ และให้โอกาสกัวหยางได้พักฟื้นตามที่ควร
คุณหมอเดินกลับมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ผมได้ไปคุยกับแผนกการเงินเรียบร้อยแล้ว ทางแผนกตกลงให้คุณจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับสองสัปดาห์แรกได้ก่อน ส่วนค่ารักษาที่เหลือคุณจะต้องชำระให้ครบภายในสองสัปดาห์ หากไม่สามารถจ่ายครบได้ ก็อาจต้องยุติการรักษาและกลับไปพักฟื้นที่บ้านแทน”
ลู่เจียวโล่งใจ “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ ฉันสัญญาว่าจะหาเงินมาให้ครบทุกหยวนค่ะ”
คุณหมอยิ้มรับ “งั้นผมจะไปแจ้งแผนกให้ทราบ เพื่อให้คนไข้ได้เข้ารับการรักษาและเริ่มทำกายภาพบำบัดได้เลยครับ”
ลู่เจียวยิ้มให้สามี “วันนี้พี่หยางจะได้เริ่มการรักษาแล้วนะคะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันค่ะ”
กัวหยางได้รับการเข้าพักเป็นคนป่วยในโรงพยาบาลประชาชนเซินโจวภายในวันนั้นเลย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?