เจ้านายใจกว้างไม่ลากไปใช้งานวันหยุด ดีใจจนแทบจะลอยได้อยู่แล้ว เย็นวันต่อมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ผู้ที่มาถึงก่อนเวลาห้านาทีคือโยษิตา รถมันติดเป็นปกติแต่ว่าคอนโดฯ ของเธออยู่ไม่ไกลจากร้านจึงเดินทางมาได้สะดวก ระหว่างรอลูกชายเพื่อนของแม่ หญิงสาวสั่งน้ำเปล่ามาดื่ม ดูเมนูอาหารไว้บ้างจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเลือก
ที่นี่เป็นร้านอาหารไทยขึ้นชื่อระดับสามดาว การตกแต่งภายในเน้นโทนสีสว่างสะอาดสะอ้าน รอบด้านมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่น้อย อีกฝ่ายเป็นคนเลือกสถานที่ โยษิตาเองก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก ไม่จำเป็นต้องนัดเธอไปที่โรงแรมหรูส่วนตัวอะไรพรรค์นั้นก็ได้
ขณะก้มหน้าไล่สายตาไปเรื่อยเปื่อยตามรายการอาหาร ฝั่งตรงข้ามพลันมีเสียงของผู้ชายลอยมา เป็นเสียงที่ฟังแล้วราวกับได้ยินพระสงฆ์สั่งสอนธรรม มีความเย็นรื่นหูและสุภาพ โยษิตาเงยหน้าขึ้นมองก็สบกับรอยยิ้มหยักบางๆ ของชายหนุ่มก่อน โดยไม่ได้ตั้งใจแต่เพราะมีสกิลสำรวจที่ฉับไว จึงได้เก็บข้อมูลเขาผ่านๆ
พบว่าคนๆ นี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการมาก ส่วนสูงน่าจะประมาณ 185 เซนติเมตร ไหล่กว้างเอวสอบ การแต่งกายด้วยลุคสมาร์ทแคชชวลขับเน้นบุคลิกภาพให้ออกมาดูเท่ ไม่เป็นทางการมากเกินไปแต่ก็ไม่น้อยเกินไป กำลังพอดี เขาอาจเป็นนักธุรกิจหรือไม่ก็คงทำงานในวงการที่ต้องพบปะผู้คนอยู่เสมอสักอย่าง ชายหนุ่มนั่งลง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองเธอคล้ายกำลังอมยิ้ม
“โยจำเราไม่ได้เหรอ” เธอเงียบไปเลย คงไม่ใช่ว่าลืมกันแล้วหรอกนะ
โยษิตากำลังจะทักทายแต่พออีกฝ่ายเกริ่นมาแบบนี้ก็จำต้องคิดสักหน่อย “ไม่ทราบว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ”
“ตะวันไง อยู่หมู่บ้านเดียวกับโยตั้งแต่เด็กแล้ว ลูกชายน้าหยด เราเรียนด้วยกันจนถึงมอปลาย พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีก” ตะวันเอ่ยแนะนำตัวสั้นๆ พลางนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามโยษิตา
“หา! ตะวันเหรอ จริงไหมเนี่ย! นายเอ่อ…” หลังจากที่ได้ฟังว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร โยษิตาก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ พลางสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง
“เปลี่ยนไปมากจนโยจำเราไม่ได้? หล่อขึ้นไหม?” ตะวันเอ่ยถามออกมายิ้มๆ
โยษิตาพยักหน้ายอมรับตามจริง หล่อขึ้นมากเชียวล่ะ หล่อจนนึกว่าเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน นี่เขาคงไม่ได้ไปให้หมอทำอะไรมาใช่ไหม อย่าว่าเธอหยาบคายเลยนะ แต่เพื่อนคนนี้ตอนนั้นใส่แว่นหนาเตอะเหมือนเธอ เป็นเด็กเรียนที่ค่อนข้างเอาจริงเอาจัง แถมมีนิสัยไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เพื่อนที่พอจะไปด้วยกันได้ก็มีไม่กี่คน ผ่านไปห้าหกปี กลายเป็นหนุ่มหล่ออัธยาศัยดีคนนี้ไปแล้ว
เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์มหาศาล ทำเอาคนที่แทบไม่แตกต่างจากช่วงมัธยมปลายอย่างเธออึ้งรับประทานไปเลย พวกเราไม่นับว่าสนิทสนม แต่ก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เรียนชั้นเดียวกันมาตลอดสิบสี่ปี ความทรงจำตอนนั้น โยษิตาจำได้ว่าตัวเองไม่ใช่เด็กร่าเริงสดใสจึงไม่ค่อยคบหาเพื่อนมากมาย แถมพอขึ้นชั้นประถมปีที่สี่ก็สายตาสั้นเสียจนต้องใส่แว่น ด้วยความที่ไม่ซุกซนไม่ชอบเล่นสนุก จึงดูแปลกประหลาดในสายตาของเพื่อนวัยเดียวกัน
เหตุผลหลายอย่างสุดท้ายเพราะเรียนดีด้วยจึงถูกหมั่นไส้ถูกกลั่นแกล้งล้อเลียน ตะวันนิสัยคล้ายกับเธอ ใส่แว่นหลังเธอไม่นาน จนโตขึ้นเข้าเรียนมัธยมเขาก็…
ขอคบเธอเป็นแฟน…ใช่แล้ว คนตรงหน้าเคยขอเธอเป็นแฟนช่วงมัธยมต้น พอไม่สำเร็จผ่านไปจนขึ้นมัธยมปลายก็ขอเรื่องเดิมอีก โยษิตาไม่ได้สนใจความรัก ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียวจึงตอบปฏิเสธเขา นั่นก็คือเหตุผลที่คนภายนอกรับรู้
แต่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น วัยรุ่นเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง ต่อให้ตั้งหน้าตั้งตาจดจ่อกับการเรียนแค่ไหนก็มีบ้างที่จะวอกแวก สมัยก่อนแม้ตะวันจะสวมแว่นแต่บุคลิกเขาดีมาก เข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มก็สูงยาวเข่าดี หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น ได้รับฉายาหนุ่มฮอตเนิร์ดในคราบเด็กเรียน จึงมีเด็กสาวมาแอบชอบไม่น้อย ส่วนเธอนอกจากมีชื่อแปะบอร์ดเรื่องแข่งขันวิชาการ ก็แทบจะเรียกว่าจืดจางไร้ตัวตน เป็นยัยเฉิ่มปุถุชน ในขณะที่เขาป็อบปูลาร์เสียยิ่งกว่าเดือนโรงเรียน
“อืม เมื่อก่อนก็หล่ออยู่แล้ว ตอนนี้ยังหล่อขึ้นอีก ขอโทษที่จำไม่ได้ สั่งอาหารกันก่อนไหม หรือว่าจะถ่ายรูปเป็นหลักฐานไปให้แม่ๆ ของเราดูค่อยแยกย้าย” โยษิตาคิดว่าเขาคงโดนบังคับมาเหมือนกัน จึงเป็นฝ่ายเสนอก่อน
ผู้ชายหล่อขนาดนี้จะมาสนใจอะไรเธอล่ะ ไม่ใช่โยษิตาดูแคลนตัวเอง แต่เธอไม่เคยได้รับความนิยมจากรูปร่างหน้าตามาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากเอาความสามารถเข้าสู้ ใครก็ไม่เคยชมว่าสวยสักครั้ง หรือมีนะ…นึกถึงรายละเอียดคืนนั้นในห้องนอนของอิทธิพล โยษิตาอารมณ์ขุ่นมัวทันที ใช่แล้ว เขาชมเธอว่าสวย แต่เป็นการชมที่เลอะเทอะเอามาคิดจริงจังไม่ได้ อย่าว่าคนบ้า อย่าถือสาคนเมา
ไม่รู้ว่าพูดผิดตรงไหน แต่ตะวันทำหน้าอึ้งไป “โยมีธุระต่อเหรอ ถ้าไม่มีก็สั่งอาหารกันเถอะ ไม่รีบ”
“ไม่รีบ? อืม งั้นก็ได้”
ทั้งคู่สั่งอาหารกันมาเต็มโต๊ะ พูดให้ถูกคือโยษิตาสั่งคนเดียวเพราะตะวันเอาแต่พูดว่าตามใจเธอ พอกลิ่นหอมฉุยลอยคลุ้ง เขาก็เริ่มทำหน้าที่ตักกับข้าวให้ พร้อมเล่าว่าสี่ปีช่วงเรียนมหาวิทยาลัยตัวเองไปทำอะไรมา โยษิตารับฟัง เธอทราบว่าเขาไปเรียนต่างประเทศ แต่ถึงจุดหนึ่งที่ชายหนุ่มบอกว่าเพราะอกหัก ก็เลยตัดสินใจหนีความผิดหวังไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น ความทรงจำบางส่วนจึงผุดขึ้นมา
โยษิตากับตะวันสบตากันโดยบังเอิญ จากนั้นก็เกิดความเงียบ “ตอนนั้นเธอปฏิเสธเราเป็นครั้งที่สามแล้วมั้ง”
ตะวันเล่าเรื่องในอดีตพร้อมหัวเราะให้บรรยากาศผ่อนคลาย เขาแอบชอบเธอมาตลอด ใจกล้าหน้าหนาเอ่ยปากขอคบทั้งที่โดนปฏิเสธไปแล้ว ขนาดหนีความชอกช้ำไปเรียนต่างประเทศก็ยังแอบถามข่าวคราวของเธอกับแม่ประจำ ยิ่งพอทราบว่าน้าหลินมารดาของโยษิตาอยากหาแฟนให้ลูกสาว ก็ไม่ลังเลสักนิดที่จะตกลงลองมาเจอ
หกปีนับตั้งแต่มัธยมปลาย เธอเติบโตขึ้น เป็นหญิงสาวเต็มตัวสวมแว่นหนาเตอะเหมือนเดิม นิสัยไม่ค่อยพูดมาก เวลาเขินยิ่งน่ารักเป็นพิเศษ เขาอยากเย้าแหย่หยอกให้คนๆนี้หัวเราะที่สุด อยากทำความรู้จักเธอ อยากใกล้ชิด ตะวันตัดสินใจแล้วว่าคราวนี้ต่อให้โดนปฏิเสธอีกก็จะไม่ยอมแพ้
“ขอโทษด้วย” โยษิตาไม่ทราบควรพูดอะไร แต่ก็เอ่ยขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวังจนต้องหนีไปเรียนต่างประเทศ เธอไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเล่น จึงได้แต่เลือกใช้ประโยคขอโทษนี้
“ไม่เป็นไร เราไม่เคยโกรธโย ในเมื่อตอนนี้โยยังไม่มีแฟน ก็ให้โอกาสเราอีกสักครั้งเถอะนะ”
โยษิตาไม่ตอบ ก้มหน้าลงแต่แก้มสองข้างกลับร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด หลบเลี่ยงหลอกตัวเองยังไงก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าเมื่อก่อน ตัวเธอรู้สึกหวั่นไหวเล็กๆ กับตะวัน ถ้าไม่ใช่เพราะขี้ขลาดเกินไป บางทีวันปัจฉิมนิเทศจบการศึกษา เธออาจจะหลุดปากตกลงคบกับเขาก็ได้
หลังกินข้าวด้วยกัน ตะวันอาสาไปส่งโยษิตากลับที่พัก แต่เธอขับรถมาเองจึงไม่รบกวนเขา ทันทีที่เปิดประตูห้องก็มีสายโทรเข้ามา เป็นมารดา อีกฝ่ายคงอยากถามไถ่ใจจะขาดแล้วว่าวันนี้การนัดเจอเป็นยังไงบ้าง โยษิตาถอดรองเท้าคัดชูเปลี่ยนไปสวมรองเท้าใส่อยู่ในบ้าน กดรับสายแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
“อาหมวยเล็ก เป็นยังไงบ้าง ชอบไหมคนนั้น ให้ม๊าหาฤกษ์เชิญพระอาจารย์มาเตรียมดูวันแต่งงานได้หรือยัง”
ชอบไหม ก็ต้องบอกว่าชอบอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากจนถึงขั้นเตรียมตกลงปลงใจแต่งงาน โยษิตาบีบมือไปที่ขมับ นวดคลึงไปพลางถอนหายใจ “ม๊าใจเย็นๆ ก่อนนะ พึ่งเจอกันจะแต่งงานเลยได้ไง คนเขาไม่มองว่าม๊าอยากมีลูกเขยจนตัวสั่น จะหาว่าโยอยากได้ผู้ชายจนตัวสั่นแทนนะ”
“ลื้อนี่! สั่นแล้วยังไง เพียบพร้อมขนาดนี้ไม่สั่นสิแปลก สมัยสาวๆ ม๊าได้ป๊าของลื้อมาก็เพราะสั่นสู้นี่แหละ ชักช้าอืดอาด เดี๋ยวจะได้ขึ้นคานเหมือนอาซิ่มของลื้อ”
โยษิตาหลุดขำพรืดหนึ่ง “สงสัยเชื้อป๊าในตัวหนูมีเยอะกว่าเชื้อฝั่งม๊าแน่เลย” เธอจึงไม่ได้สั่นสู้อย่างที่มารดาทำ
“ม๊าไม่ต้องรีบหรอก ให้หนูดูไปก่อนสักพักได้ไหม แล้วก็อย่าพึ่งไปคุยกับน้าหยดเรื่องสินสอดอะไรพวกนั้นเด็ดขาด ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาจะได้ไม่ผิดใจกัน รับปากโยสิ”
“รู้แล้วๆ” แต่ความจริงคือคุยกับทางนั้นบ้างแล้ว หากลูกสาวรู้ว่าผู้เป็นแม่ปากไวใจเร็วแค่ไหน คงได้บ่นจนคนแก่ท้อจะฟังแน่
สิ้นสุดวันหยุด พอมาทำงานก็ต้องเจอกับปัญหาทันที บอสใหญ่บอกว่าตัวเองไม่สบาย ริชชี่เป็นห่วงเขามากแต่ไม่กล้าเข้าห้องทำงานไปรบกวนชายหนุ่ม ได้แต่มองตามหลังโยษิตาด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าไม่ไหวบอสจะไปโรงพยาบาลไหมคะ”
“ไม่ไหวจริงๆ คุณพาผมกลับบ้านเถอะ วันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว อยู่ดูแลผมก็พอ”
อยู่ดูแลก็คืออยู่เฝ้าเขาเหรอ เธอไม่อยากใกล้ชิดอิทธิพลเกินไป ไม่อยากอยู่ตามลำพังกับเขาในห้องที่มีประวัติไม่น่าจดจำ คืนนั้นยังฝังใจไม่หาย ถ้าเกิดเขาบ้าขึ้นมาอีกจะเอาตัวรอดยังไง โยษิตารับคำไปส่งบอสหนุ่มกลับบ้านพักผ่อน เรียกหมอมาตรวจจัดยาเสร็จเรียบร้อยก็ขอตัวกลับ โดยบอกไปว่ามีธุระสำคัญ
“ธุระอะไรอีกแล้ว คุณคงไม่ได้จะไปออกเดทอะไรพรรค์นั้นหรอกใช่ไหม”
เขาเพียงถามไปอย่างนั้นแต่พอโยษิตาอึกอักพูดไม่ออก ฝ่ายที่ต้องตกตะลึงจึงกลายเป็นตนเองแทน เลขาสุดเฉิ่มของเขาไปออกเดทกับผู้ชายจริงเหรอเนี่ย! อิทธิพลมองคนสนิทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน รู้สึกทั้งอึ้งทั้งไม่สบายใจ ไหนบอกว่าเทิดทูนยกย่องเขาไง มีเจ้านายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ดันไปแบ่งใจให้คนอื่นซะได้ น่าหงุดหงิดมาก อยากจะเห็นหน้าฝ่ายนั้นซะจริง หล่อลากดินรวยมากนักหรือไง
“สุขภาพเจ้านายอย่างผมสำคัญไม่พอเหรอ คุณถึงยังจะไปเที่ยวเล่นกับผู้ชายคนอื่น วางแผนจะแต่งงานแล้วหรือไง อายุแค่นี้รีบร้อนทำไม กลัวขึ้นคาน? ถ้ายังจะไปผมคงห้ามคุณไม่ได้ งั้นก็ไปเถอะ ผมจะดูแลตัวเอง”
โรคเรียกร้องความสนใจกำเริบแล้ว ขอบเขตเหตุผลเริ่มน้อยลงทุกที เขาเป็นเด็กห้าขวบเหรอถึงต้องทำท่าน้อยอกน้อยใจ โตป่านนี้ทั้งเธอก็ต้องมีชีวิตส่วนตัวบ้าง มาบอกว่าใครสำคัญกว่าอยู่ได้
“บอสนอนพักเถอะค่ะ เดี๋ยวโยจะนั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะทางนั้น”
“คุณไม่ไปเที่ยวกับผู้ชายแล้ว?”
“ไม่ไปค่ะ บอสย่อมสำคัญที่สุด” ถ้าไม่เอาอกเอาใจ บอสใหญ่ผู้น่าเคารพคงได้ทำเรื่องชวนปวดหัวกว่าเดิม
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?