ตอนที่ 7 ปฏิเสธเป็นครั้งแรก

เนื่องจากเป็นวันแรกที่นักศึกษาฝึกงานทั้งสองคนมารายงานตัว ช่วงนี้ยังไม่ยุ่งมาก ในฐานะที่อาวุโสกว่าโยษิตาจึงจะพากิ่งแก้วไปเลี้ยงต้อนรับ ทางเจ้านายท่านนั้นกลับไปพักผ่อนแล้ว หลังฟังเธอร่ายยาวข้อมูลในเอกสารกว่าสามชั่วโมงเต็ม ย่อมงอแงไม่อยากทำอะไรอีก โยษิตาจึงว่างพอดี ประตูลิฟต์เปิด หญิงสาวก้าวขาออกมาพร้อมกิ่งแก้ว จู่ๆ เด็กนักศึกษาเกือบสิบคนก็หันมาส่งเสียงทักทายทางนี้อย่างตื่นเต้น

“สวัสดีค่ะพี่โย”

“สวัสดีครับพี่โย”

“พี่โยคะ ทุกคนมาครบแล้วค่ะ ขาดแต่ริชชี่คนเดียว” กิ่งแก้วรายงาน

โยษิตาทำหน้าฉงนเล็กน้อย เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่นานก็เข้าใจแล้วว่าเด็กๆ กลุ่มนี้มารวมตัวกันทำไม กิ่งแก้วคงฟังไม่ได้ศัพท์ นึกว่าเธอจะเลี้ยงเด็กฝึกงานทั้งหมดแน่ๆ จึงได้ส่งข่าวแจ้งเพื่อนๆ แต่ในเมื่อมาแล้ว เลี้ยงก็เลี้ยงเถอะ โยษิตาเข้าไปติดต่อรถตู้รับส่งของบริษัท พาพวกเขาไปยังร้านอาหารริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นร้านบุฟเฟต์หมูกระทะซีฟู้ดตักได้ไม่อั้น ราคาต่อคนอยู่ที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าบาท รวมคุณลุงขับรถกับเธอก็เป็นสิบเอ็ดคน ค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่ประมาณหมื่นกว่า นั่นเทียบเท่าค่ากินของตนทั้งเดือนทีเดียว

โยษิตาเคี้ยวกุ้งย่างตัวอ้วนให้สมราคา ปล่อยวางทำใจให้สงบ ไม่ต้องนึกเสียดาย เงินน่ะไม่ตายก็หาใหม่ได้ แค่หมื่นเดียวเอง ฮือๆ กิ่งแก้วได้รับความเอ็นดูจากเลขาคนสนิทของท่านประธาน ตลอดเวลาคอยเอาอกเอาใจโยษิตา แม้เป็นเด็กสาวขี้อายคนหนึ่ง ทว่าเวลาพยายามเข้าหาคนก็ขัดเขินได้น่ารักทีเดียว ทำเอาเจ้าภาพนึกตำหนิไม่ลงสักนิด

กิ่งแก้วกำลังเลือกเฟ้นขนมไปให้รุ่นพี่สาว ทันใดนั้นก็มีผู้ชายตัวสูงมายืนข้างเธอ ถามว่า “พี่โยเขามีแฟนยังอ่ะกิ่ง”

“ไม่ได้ถาม แต่พี่ชายบอกว่าไม่มี”

“โสดใช่ไหม ไอ้พุฒิมันบอกว่าอยากจีบพี่เขา เธอช่วยชมมันต่อหน้าพี่เขาเยอะๆ หน่อยสิ ถ้าได้คบ ไอ้พุฒิมันบอกอยากได้อะไรก็จะซื้อให้” ชายหนุ่มติดสินบน โยษิตาแม้แต่งตัวเชยกว่าคนในวัยเดียวกัน แต่ก็ใจดีแบบผู้ใหญ่ มีความเป็นพี่สาวแถมนิสัยยังสุภาพ หนึ่งในเพื่อนของพวกเขาชอบอะไรแบบนี้จึงอยากลองคุยดู

“จีบเลขาท่านประธานบริษัทเชียวเรอะ! คนชื่อพุฒินี่กล้าไม่เบานะ”

ทางด้านโยษิตาไม่เคยต้องได้ลุกไปหยิบอาหารเอง กิ่งแก้วพอเห็นเธอเตรียมไปตักก็อาสาอย่างขันแข็ง เกรงใจเด็กสาวแต่อีกฝ่ายอยากบริการ เธอจึงนั่งอิ่มตื้ออยู่กับที่จนแน่นท้อง เวลานี้ก็มีสายโทรเข้ามา หน้าจอปรากฏชื่อคนๆ หนึ่ง โยษิตาใส่หูฟังแล้วจึงกดรับ ปลายสายเป็นน้ำเสียงปนโมโหของชายหนุ่ม

“โยษิตาคุณรู้ไหมว่าน้องริชชี่นั่นเป็นใคร วันนี้พอผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน แม่ก็พูดถึงคนๆ นี้เลย ผมว่าแล้วว่าต้องไม่ชอบมาพากล ที่แท้หล่อนก็คือผู้หญิงที่แม่ผมเล็งไว้จะจับมาคลุมถุงชนกับผม แค่ทำงานก็ปวดหัวจะแย่ นี่ยังต้องมารับมือกับผู้หญิงของแม่อีก ผมยกหล่อนให้คุณจัดการนะ อยากสอนจนร้องไห้หรือหาเรื่องไล่ออกไปก็แล้วแต่เลย”

“ค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ” โยษิตามองวิวแม่น้ำ แอบเหนื่อยที่ต้องมาได้ยินเสียงโหวกเหวกของเจ้านาย เลิกงานก็สมควรได้พักผ่อนเข้าใจไหม เขาโทรมาเล่าเรื่องส่วนตัว ไม่คิดว่าเธอจะเป็นสายลับสองหน้าตลบหลังเขาหรือไง

“พี่โยครับ ผมเห็นพี่ชอบกินหมูสามชั้น เดี๋ยวผมย่างให้นะ” เด็กหนุ่มรุ่นน้องชื่อพุฒิพงษ์นั่งฝั่งตรงข้ามกับโยษิตาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ พอได้ยินเสียงทุ้มของเขา หญิงสาวก็หันมาพยักหน้า

ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามชัดถ้อยชัดคำ “โยษิตา คุณอยู่กับใคร”

“โยพาเด็กฝึกงานมาเลี้ยงต้อนรับค่ะ กำลังกินหมูกระทะกัน เรื่องที่บอสบอก โยเข้าใจแล้วค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ” เขาไม่ชอบให้เธอวางสายก่อน โยษิตาจดจำได้ดีจึงถามอย่างใจเย็น ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรก็กดวางไปดื้อๆ

“จึ๊! อะไรของเขา อยากโทรก็โทร อยากวางก็วาง คนเรามันก็ต้องการเวลาส่วนตัวนะ” โยษิตาบ่นงึมงำไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แต่หลังจากที่วางสายไปแล้ว จะให้ทำต่อหน้านะเหรอ ฝันไปเถอะ

หลังจากมื้ออาหารใหญ่ กลับมาถึงคอนโดฯ สักที ยังไม่ทันผลัดเปลี่ยนชุดก็มีคนโทรเข้ามาหาอีกแล้ว โยษิตารับสายจนท้อ เธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่บำบัดทุกข์คอยให้บริการแก้ปัญหาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ จะรบกวนอะไรนักหนา หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เกือบจะบ่นอิทธิพลแต่หน้าจอกลับโชว์รายชื่อที่ต่างออกไป

แม่ เป็นแม่ของเธอเอง โยษิตาชั่งใจสักครู่ก่อนค่อยกดรับ “ฮัลโหลค่ะหม่าม๊า”

“อาหมวยเล็กเหรอลูก สบายดีไหม กินข้าวหรือยัง” น้ำเสียงที่ถามไถ่มาตามสายทำให้คนรับสายอดคิดถึงไม่ได้

“กินแล้วค่ะ ม๊ากินยัง อาป๊าด้วย อย่ามัวแต่ทำงานนะคะ แก่แล้วกินข้าวให้ตรงเวลา” โยษิตาแอบบ่นเล็กน้อย

“รู้แล้วๆ เด็กคนนี้ขี้บ่นจัง วันมะรืนว่างไหมอาหมวยเล็ก ม๊านัดกับลูกชายอาหยดไว้ว่าจะให้ไปเจอกับหนู”

โยษิตารอยยิ้มค้างเก้อ จากนั้นริมฝีปากก็ค่อยๆ ตกลงมา นี่คือหนึ่งในเรื่องที่เธอเดาได้แม่น ตามสเต็ปของมารดา ถามไถ่สารทุกข์สุขพอประมาณ ก็จะวนเข้าเรื่องหาแฟนให้ลูกสาว ไม่เคยมีลูกไม้ใหม่มาเล่นเลย

“ม๊าทำอะไรอีก หนูบอกแล้วไงว่าตอนนี้อยากทำงานอย่างเดียว ยังไม่อยากมีครอบครัว ม๊ายังจะไปนัดใคร”

มารดาได้ยินลูกสาวคนเล็กโอดโอยร้องเหมือนหมูถูกเชือดก็ทำเสียงเข้มเริ่มสั่งสอน “อาหมวยเล็กเอ๊ย! ลื้อน่ะอายุยี่สิบห้าปีแล้ว คนวัยเดียวกับลื้อแต่งงานกันไปหมดแล้ว จะไม่ให้ม๊าร้อนใจได้ยังไง ทำงานๆ ทำแต่งานแล้วเมื่อไหร่จะมีผัว ผู้ชายดีๆ ไม่มีใครว่างมารอลื้อรวยหรอกนะ ไม่รีบจะได้ขึ้นคานเป็นสาวทึก เหมือนกับอาซิ่มของลื้อ”

“ยี่สิบห้าแล้วยังไง ม๊าทำความเข้าใจใหม่เลยนะ ยี่สิบห้ายังเอาะๆ อยู่ ไม่เห็นต้องรีบเลย”

ครอบครัวเธอมีเชื้อสายจีน มารดาค่อนข้างหัวคิดสมัยเก่า หญิงสาวพอเติบโตก็ควรหาฤกษ์ยามแต่งงานให้เหมาะสม จะได้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเร็วๆ เธอไม่อยากแต่งเพราะยังไม่เจอผู้ชายที่ชอบ ยิ่งโดนบังคับยิ่งดื้อ ตั้งแต่เรียนจบจนตอนนี้ มารดาไม่เหนื่อยที่ต้องคุยเรื่องหาสามี แต่เธอเหนื่อยมาก มักจะหลบเลี่ยงยิ่งกว่าหนีผีร้ายมาตามเอาชีวิตซะอีก

ก่อนวางสายมารดาได้ขอร้องทั้งเหมือนจะร้องไห้เต็มที โยษิตาจึงจำต้องใจอ่อนยอมไปเจอคนที่แม่อุตส่าห์เฟ้นหามาให้สักครั้ง ถ้าไม่ถูกใจก็แค่แยกย้าย ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่

เพราะว่าเมื่อวานเลขาท่านประธานไปเลี้ยงเด็กฝึกงานทั้งหมด วันนี้จึงมีข่าวลือบางอย่างแพร่สะพัดอยู่ในหมู่ของพนักงาน กล่าวกันว่าน้องคนสวยริชชี่ถูกกลั่นแกล้งเข้าเสียแล้ว ต้นสายปลายเหตุเริ่มที่ริชชี่ทำหน้าหมองเศร้าไม่สดใสเหมือนวันแรก พอมีคนถามไถ่ เธออิดออดอยู่สักพักถึงเล่าว่าโดนเพื่อนๆแบน แถมพี่เลี้ยงสอนงานไม่ได้ทักมาถามไถ่ด้วย เลยรู้สึกว่าท้อแท้ใจมาก

กิ่งแก้วรอโยษิตามาทำงาน พอเลขารุ่นพี่นั่งลงก็เข้าไปร้องขอความยุติธรรมทันที “พี่โย เมื่อวานกิ่งชวนริชชี่แล้ว แต่ริชชี่บอกว่าไม่ไป วันนี้กลับสร้างข่าวลือทำให้ฝ่ายบุคคลเรียกพบพวกเราทั้งหมด พวกเราไม่ได้กลั่นแกล้งเธอจริงๆ ค่ะ เจ็บใจก็แต่ตอนชวนไปกินเลี้ยงพูดปากเปล่าเลยไม่มีหลักฐานยืนยัน ฝ่ายบุคคลบอกว่าถ้าเราแบ่งพรรคแบ่งพวกกลั่นแกล้งเพื่อนอีก จะแจ้งทางมหาวิทยาลัยค่ะ”

นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ หากไม่รีบแก้ข่าวแน่นอนว่าจะต้องมีประวัติด่างพร้อย ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ยิ่งไม่ควรโดนขึ้นบัญชีดำ ไม่อย่างนั้นในอนาคตคงหางานทำยาก โยษิตายีศีรษะเด็กสาวที่กำลังจะร้องไห้ กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“ไม่ต้องร้อนใจไป ตรงนี้มีกล้องวงจรปิด ไม่ได้ยินเสียงแต่พี่เป็นพยานให้ได้ เมื่อวานพี่ก็ได้ยินว่าเราชวนเขาแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ หนูนึกว่าจะซวยซะแล้ว” กิ่งแก้วกลับไปนั่ง นิ้วมือพิมพ์บอกทุกคนในห้องแชทรวม หลังเลี้ยงต้อนรับแม้มาจากคนละมหาวิทยาลัยแต่พวกเขาก็เข้ากันได้อย่างรวดเร็ว แถมทุกคนยังรู้แล้วว่าริชชี่เป็นเด็กเส้นถึงเข้ามาเดินเตะเท้าอยู่ในธาดากรุ๊ปได้ จึงสร้างกลุ่มที่มีกันแค่เก้าคนไม่รวมหญิงสาวเข้ามา กิ่งแก้วไม่ชอบริชชี่เพราะหล่อนมักจะหาเรื่องโยษิตา เถียงไม่สู้ก็ยกเอาฐานะมาข่ม ความสามารถไม่เทียบเท่าก็เอาแต่กดเรื่องหน้าตาอยู่อย่างนั้น ใช้ไม่ได้ที่สุด

ถึงเวลาเตรียมตัวประชุม โยษิตาเคาะประตูห้องทำงานของท่านประธานใหญ่ก่อนค่อยเปิดเข้าไป “บอสคะ ทุกคนมากันครบแล้วค่ะ”

“เมื่อวานคุณไปกับเด็กพวกนั้น ไม่เห็นชวนผมเลย”

เอ่อ…เรื่องนี้ ชวนเขาไปจะไปเหรอ ควันเอย กลิ่นเอย อิทธิพลรักสะอาดเจ้าสำอางจะตาย มีฝุ่นหน่อยก็หลบเลี่ยงแล้ว จะไปนั่งกินหมูกระทะซีฟู้ดเผา ไม่มีทางเป็นไปได้

“มันกะทันหันค่ะ วันหลังถ้าบอสต้องการโยจะแจ้งล่วงหน้านะคะ”

อิทธิพลลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน กางแขนออกเพื่อให้เลขาสาวสวมเสื้อสูทตัวนอกให้ “อืม พรุ่งนี้วันหยุดไปสนามกอล์ฟกับผมหน่อย”

“เท่าที่ทราบ บอสไม่ได้มีนัดกับใครนี่คะ” เธอเช็คตารางงานของเขาแล้ว อีกอย่างตนมีนัดกับคนที่แม่หามาให้ จะยกเลิกปุบปับก็ดูไม่ค่อยดี

“อยากไปพักผ่อนกับเพื่อนเฉยๆ คุณไปเป็นแคดดี้ให้ผม”

“คือว่า บอสคะ พรุ่งนี้โยมีนัดแล้วค่ะ เป็นนัดสำคัญที่ตกลงกับแม่ไว้”

เธอไม่เคยปฏิเสธคำสั่งมาก่อน ย่อมต้องรู้ว่าหากไปตีกอล์ฟอาจมีจังหวะคุยธุรกิจด้วย ไม่พกเลขาไปไม่ได้ และเจ้าหล่อนก็ไม่เคยทำหน้าลำบากใจกับเขาสักครั้ง แสดงว่าต้องเป็นนัดที่สำคัญมาก

“ไปธุระของคุณเถอะ ผมแค่ไปตีกอล์ฟเล่นเอง ไม่สำคัญหรอก”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ