ตอนที่ 13 เป็นแฟนกัน

ทางนี้โยษิตาไม่รับรู้ว่ามีสายตาร้อนแรงกำลังจดจ้องมองมา เหตุที่ไม่ทราบไม่ใช่เป็นเพราะประสาทสัมผัสช้า ทว่ามีคนชวนคุยอยู่ตลอดจึงไม่สามารถปลีกตัวแบ่งเวลาสักแวบได้ ตรงหน้าเธอมีผู้จัดการบริษัทเหมืองแร่อ้วนฉุและกลุ่มเพื่อนกำลังเล่าอย่างออกรสว่าลงทุนกับพวกเขาแล้วดีอย่างนั้นอย่างนี้ หากธาดากรุ๊ปสนใจจะเกิดประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

โยษิตาเป็นเลขาส่วนตัวของผู้บริหารคนปัจจุบัน ตำแหน่งของเธอเอื้ออำนวยอย่างยิ่งหากจะเสนอดีลให้กับเจ้านายโดยตรง เมื่อก่อนตอนออกงานก็มักมีเถ้าแก่ในแวดวงต่างๆ เข้าหามาชวนคุยบ่อย แต่วันนี้ต่างออกไปที่พวกเขาเหมือนจะถามไถ่เรื่องส่วนตัวเพิ่มเข้ามาด้วย

อย่างเช่นว่า เธอมีแฟนหรือยัง กำลังคบกับใครอยู่หรือเปล่า แม้แต่คนที่มีเมียแล้วก็ยังมองที่ตัวเธอแปลกๆ โยษิตาอึดอัดคิดปลีกตัว พอมองไปเห็นชายหนุ่มสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก็ดีใจขึ้นมา เขาเองก็เหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวท่ามกลางวงล้อมต้องการความช่วยเหลือจึงสาวเท้ายาวๆเข้าไปหา

“สวัสดีครับทุกท่าน ขอตัวคุณเลขาสักครู่นะครับ พอดีว่าคุณแม่ของผมมีเรื่องให้เธอช่วย”

ไม่ทราบคนโผล่มาจากไหน พอเขาออกปากผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ยังไม่เห็นตัวก็นึกไม่พอใจทันที ราวกับฝูงหมาป่าช่วยกันล่าเหยื่อ กวางน้อยจนหนทางไม่สามารถฝ่าวงล้อมหนีไปได้ ยังไงก็เสร็จแน่ แต่พอเสียงนี้ดังขึ้น ความฝันอันโอชะสลายหายไปในพริบตา และเมื่อทุกคนหันไปเห็นฝ่ายที่มาก็พากันยิ้มแย้มไม่มีใครพูดอะไร ย่อมยอมถอยให้อย่างนอบน้อม

โยษิตามองตะวันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อน จากนั้นหันไปหาเจ้าของเสียงที่ยืนใกล้แผ่นหลังของเธอเสียจนจะแนบเข้ามาชิดอยู่แล้ว หญิงสาวขยับเว้นระยะแล้วหันไปหา “คุณหญิงท่านมีอะไรให้โยช่วยเหรอคะ”

อิทธิพลเหลือบมองผู้ชายตัวสูงในชุดสูทเรียบหรูไม่ไกลออกไป จากนั้นหรี่ตาลงมา สบประสานกับดวงตาใสแจ๋วของคนที่ตัวเล็กกว่าเขา “ ตามผมมา”

โยษิตาจึงต้องตามเจ้านายไป จังหวะพระเอกขี่ม้าขาวของตะวันก็พลอยต้องมาถูกแย่งซีนไปทั้งอย่างนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ตะวันได้เจอผู้บริหารคนปัจจุบันของธาดากรุ๊ป ผู้เป็นบอสใหญ่ของโยษิตา อิทธิพล ธาดากีรติ ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขาสองปี บุคลิกสง่าผ่าเผยเปี่ยมบารมี ผลงานโดดเด่นเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล

ที่สำคัญคือ อิทธิพลยังโสด แถมหน้าตาหล่อเหลา ชาติตระกูลร่ำรวย เพียบพร้อมชนิดที่ว่าแค่กระดิกนิ้วผู้หญิงก็เต็มใจหลอมละลายอยู่ในฝ่ามือ เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่งยวด เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาเห็นผู้ชายคนนั้นเข้าใกล้โยษิตา

เธอหันมาคล้ายต้องการบอกว่าไว้ค่อยคุยกัน ตะวันจึงได้หยุดฝีเท้าเปลี่ยนทิศทาง ลอบมองเธอเป็นระยะพลางเสวนาเรื่องธุรกิจกับแขกคนอื่นในงาน

“รู้จักแต่งตัวแล้ว” อิทธิพลพาเธอออกมายืนอยู่ในมุมหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น คล้ายจะชมก็ไม่ชม น้ำเสียงฟังดูเหมือนส่อเสียดประชดประชันมากกว่า

โยษิตารู้สึกอย่างนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าบอสจะไม่พอใจตนเรื่องอะไร หรือบางทีเธอคงคิดมากไป “ก็นิดหน่อยค่ะ งานครบรอบสามสิบปีเอสซีเค ให้โยแต่งตัวเหมือนตอนไปงานสัมมนา เกรงว่าจะทำให้บอสขายหน้าเอา”

แขกทั้งหมดใส่ชุดราตรีชุดสูท เธอจะมาแนวเสื้อเบล้าต์กับกระโปรงทรงเอเหมือนเคยได้ยังไง “แล้วคุณหญิงท่านมีอะไรให้โยช่วยเหรอคะ”

“แม่ไม่มีแต่ผมมี ยืนอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ได้รับอนุญาตอย่าเที่ยวเดินเผ่นพ่าน แล้วก็อย่าคุยกับคนมั่ว”

“แต่ในงานมีคนใหญ่คนโตมากันเยอะเลยนะคะ โยไปเดินปะปนกับแขก บางทีอาจจะได้ข้อมูลดีๆ” นี่เป็นหน้าที่ของเธอเลยล่ะ ได้สนทนากับเถ้าแก่ผู้มากประสบการณ์ ช่วยแนะนำหาคอนเนคชันเผื่อแผนงานในอนาคต แต่เจ้านายกลับสั่งให้ยืนอยู่เฉยๆ แล้วมันจะไปเกิดประโยชน์อะไร ที่สำคัญคือ หากอยู่ใกล้บอสใหญ่ เธอกับตะวันจะไม่ได้คุยกันเท่าที่ควร

สองคนมองกันไปมา ก่อนจะมีเสียงแหลมของหญิงสาวเรียกชื่ออิทธิพล “พี่อิทคะ ริชชี่กำลังตามหาพี่อยู่พอดีเลย”

ริชชี่ปรากฏตัวในชุดราตรีสีเงินยวงขับเน้นทรวดทรง หน้าอกหน้าใจถูกดันจนนูนเด่นขึ้นมาเบียดชิด ต่างหู สร้อยคอรวมไปถึงกำไลข้อมือประโคมแบรนด์หรูทั้งตัว ในค่ำคืนนี้จะบอกว่าใครดูแพงที่สุดก็คงเป็นหล่อน แพรวพราวระยิบระยับเสียจนแสบตา อย่างกับอาบกากเพชรเคลือบทุกอณูของร่างกาย

โยษิตาถึงกับหยีตาหลบแสง นึกในใจว่าบางครั้งคนเราแต่งเกินพอดีก็จะกลายเป็นตลกแบบนี้ได้ ส่วนอิทธิพลถอนหายใจเงียบเชียบ สายตาหวานหยดที่หญิงสาวมองมาทำให้เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัด

“มีอะไรเหรอ” อิทธิพลกล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่แสดงอาการ ยืนรักษาระยะห่างให้พอดี แต่กลับกลายเป็นเบียดเข้าหาโยษิตาจนแทบจะตัวติดกัน

ริชชี่สังเกตเห็นจึงรีบคล้องแขนเขาแล้วดึงมาหาตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ “มีสิคะ คุณพ่อท่านถามหาพี่อิทแน่ะ แล้วนี่ใครเหรอคะ เพื่อนพี่อิทเหรอ” หล่อนปรายหางตามองอย่างไม่เป็นมิตร

โยษิตาแปลกใจที่อีกฝ่ายจำเธอไม่ได้ ก็แค่ถอดแว่นแต่งหน้าแต่งตัวนิดเดียวเองไหม ไม่ได้เป็นพระสังข์ถอดรูปเงาะนะ

“คุณริชชี่ ดิฉันโยษิตาค่ะ”

“โยษิตา เลขาหน้าห้องพี่อิทน่ะเหรอ?” ริชชี่ทวนชื่อที่ระคายหูนี้ซ้ำอย่างอึ้งงัน ดวงตาพลันจดจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้า เพ่งเล็งขึ้นลงสามสี่รอบ แทบจะอยากยื่นมือไปพลิกดูให้หนำใจ ว่าคนๆ นี้ใช่โยษิตา ยัยป้าระเบียบจัดแว่นหนาเตอะจริงหรือเปล่า และยิ่งไม่สบอารมณ์เมื่อพบว่าเป็นคนที่เธอเกลียดคนนั้นจริงๆ

หญิงสาวเม้มปากแน่นทำใจเชื่อไม่ลง ทั้งวิตกร้อนรนทันทีเพราะอิทธิพลชอบคนสวย ยัยป้าระเบียบแต่งองค์ทรงเครื่องมาซะสะพรึงขนาดนี้ จะไม่ให้เธอหวาดระแวงเหรอ แต่ถึงอันตรายจะมาจ่อจมูกแล้ว ริชชี่ก็ต้องทนข่มกลั้นไม่ระเบิดอารมณ์ ต่อหน้าอิทธิพลเธอเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเสมอ ลืมตัวก้าวร้าวขึ้นมาเขาต้องไม่ชอบใจแน่

“เห็นไหมว่าทำคนอื่นตกใจแค่ไหน ทีหลังไม่จำเป็นก็ไม่ต้องแต่งตัวให้มันมาก” อิทธิพลเงียบไปเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกประโยคเสียงเบา “เหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

ทั้งที่คำพูดของบอสใหญ่ตำหนิ แต่ฟังแล้วคนที่รับไม่ได้อย่างแรงกลับเป็นริชชี่ นี่มันชวนให้เข้าใจผิดว่าเขากำลังหวงได้ง่ายๆ เลยนะ ยังมีท่าทางที่มองเลขาสาวอยู่เนืองๆ อีก หรือว่าที่คู่หมั้นจะหลงเสน่ห์ยัยเลขาเฉิ่มเข้าแล้ว

“พี่อิทไปหาคุณพ่อกันเถอะค่ะ ท่านอยากรู้ว่าพวกเราจะหมั้นกันตอนไหนดี” ริชชี่จงใจประกาศต่อหน้าโยษิตา

เขาพลันถอยแขนของตัวเองออกจากการเกาะเกี่ยวของเธออย่างเป็นธรรมชาติ “หมั้นอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย พี่มีแฟนแล้ว แค่ยังไม่ได้พาไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักเฉยๆ พวกท่านมักคิดว่าพี่โสด เลยเทียวแซวลูกสาวคนนั้นคนนี้จับคู่พี่ไปทั่ว เฮ้อ! เหนื่อยใจจริงๆ”

“มี…มีแฟน ใครคะ แล้วการหมั้นของเรา”

แม้ริชชี่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้เต็มทีแต่อิทธิพลก็ไม่ปรานี “ถ้าพี่ไม่ได้ตกลงด้วย จะไม่มีงานหมั้นของเราเด็ดขาด พี่ไม่เหมือนพี่ชายของตัวเองแน่นอนที่จะยอมให้แม่มัดมือชก พี่กับแฟนรักกันดี ริชชี่ยังสาวยังสวย ยังมีโอกาสอีกมาก สรุปคือตัดใจจากพี่เถอะ”

ริชชี่ใบ้รับประทาน สีหน้าบิดเบี้ยวจากนั้นเริ่มเบ้ปาก “ฮึกๆ พี่อิท พี่ทำแบบนี้กับริชชี่ได้ยังไง” ว่าจบก็หมุนตัวปาดน้ำตาวิ่งไปยังทางออกต่อหน้าฝูงชน เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที

แล้วบอสจะต้องตัดสัมพันธ์กับริชชี่ในงานเลี้ยงที่แขกมากันคับคั่งเช่นนี้ด้วย โยษิตาไม่เข้าใจเขา ยังมีเวลาอื่นแท้ๆกลับมาทำให้เป็นข่าวลือแบบนี้ แล้วนี่ทุกคนเปลี่ยนสายตาหันมาลอบมองเธอทำไม มองหาอะไรไม่ทราบ เธอไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย

“เฮ้อ! ชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงจริงๆ นี่ถ้าบอกก่อนว่ากำลังคบหากับหนูโย ฉันก็คงไม่ไปพูดเรื่องหมั้นหมายอะไรพวกนั้น”

คุณหญิงศรินขมวดคิ้วกังวลใจ เมื่อได้ยินบทสนทนาของลูกชายไม่ไกลจากที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่ หลังจากนี้คงต้องให้สามีไปคุยปรับความเข้าใจกับท่านไกรสรให้มากหน่อย เรื่องราวยังไม่บานปลาย ชดเชยอย่างเหมาะสมจะได้ไม่ต้องผิดใจกันทีหลัง

งานครบรอบเอสซีเคดำเนินไปได้ถึงประมาณสามทุ่มครึ่ง รอเจ้าภาพกล่าวขอบคุณแขกอย่างเป็นทางการ ไม่นานนักอิทธิพลก็บอกให้เลขาพาเขากลับบ้านไปพักผ่อน โยษิตามาส่งคนถึงที่แล้วยังไม่ได้หันรถกลับทันที เพราะบอสใหญ่ต้องการคุยธุระสำคัญกับเธอก่อน

บนห้องหนังสือชั้นสอง ชายหนุ่มอ้อมไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ส่วนเลขาสาวยืนอยู่กลางห้อง ใบหน้าสะสวยนิ่งสงบ ทว่าดวงตาวาวหวานสั่นระริกเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น

“บอสมีอะไรเหรอคะ”

“นั่งก่อน” น้ำเสียงที่ติดห้วนเล็กน้อย เย็นชาและบ่งบอกว่าระเบิดกำลังจะทำงานตลอดเวลาทำให้โยษิตาไม่กล้าดื้อ เพราะทำงานด้วยกันมาสามปีแค่นี้ทำไมจะมองไม่ออก

โยษิตาจึงเดินไปนั่งลงบนโซฟา รอให้อิทธิพลกล่าวธุระสำคัญ เขาเคาะมือบนโต๊ะแล้วมองหญิงสาว ไหล่ของเธอแบบบางมาก รอยจ้ำที่เคยมีก็จางลงจนแทบไม่เห็นแล้ว มิน่าถึงได้กล้าแต่งตัวแบบนี้ บอสหนุ่มถอนหายใจ ปรับอารมณ์ให้เย็นลงอีกนิด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ฟังแล้วดูเกียจคร้านเหมือนไม่ค่อยอยากพูด

“คุณมาเป็นแฟนผมเถอะ”

ห้องหนังสือเงียบฉี่ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตนเอง อิทธิพลเหลือบตาขึ้นมา มองหญิงสาวฝั่งตรงข้ามเปิดเผยกว่าเดิม “ไม่ได้ยินเหรอ?”

โยษิตาได้ฟังก็ทั้งพยักหน้าและส่ายหน้า ดูสับสนเป็นที่สุด “แฮะๆ บอสอย่าล้อเล่นเลยค่ะ โยตกใจนะคะ”

“ผมเหมือนเพื่อนเล่นคุณหรือไง ไม่เต็มใจ?” นี่เธอกล้าไม่เต็มใจคบกับเขาเหรอ ยัยเลขาคนนี้ จะทำให้โมโหไปถึงไหนกัน “ไม่ต้องคิดมาก ไม่ใช่แฟนจริงๆ สักหน่อย หรือคุณไม่ได้ยินว่าวันนี้ผมพูดอะไรกับริชชี่”

“บอสบอกเธอว่า บอสมีแฟนแล้ว ให้เธอตัดใจ”

“ใช่ไง ถ้าเธอจับได้ว่าความจริงผมไม่มีแฟนก็แย่สิ คนอื่นรับมือเธอไม่ไหวแน่ คงมีแค่คุณคนเดียว เป็นแฟนหลอกๆให้ผม คงไม่เกินความสามารถหรอกใช่ไหม”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ