ตอนที่ 5. ท่านหมอกวาง

“กรี๊ด เจ้า เจ้า เจ้า”

เสียงกรีดร้องดังลั่นปลุกให้เกรย์สะดุ้งตื่นขึ้น กองไฟตรงหน้าเขาเกือบมอดดับไปแล้ว แต่ยังคงให้ความอบอุ่นอยู่เล็กน้อย เขาหันไปมองต้นเสียง จึงได้เห็นเด็กหญิงกำลังร้องไห้เสียงดัง มือเล็กกำกระโปรงที่คลุมร่างกายไว้แน่น เธอร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เขามองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน จึงรู้ว่าเช้าเเล้ว

เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เตียงไม้ไผ่ที่เด็กหญิงนั่งอยู่ พร้อมกับยกมือขึ้นทั้งสองข้างทำท่าเหมือนยอมแพ้

“สวัสดี ไม่ต้องกลัวนะ ฉันเป็นหมอ เมื่อคืนหนูไม่สบาย ล้มบนพื้น หมอช่วยไว้ จำได้หรือเปล่า” เกรย์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างเล็กที่ยังคงร้องไห้ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงกับสะอึกสะอื้น แต่พอจับสังเกตได้ว่าเด็กหญิงกำลังพยายามหยุดร้องไห้อยู่

“หมอไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะ เมื่อคืนหนูเป็นไข้ ตัวร้อนมาก หมอจึงต้องเช็ดตัวให้หนู” เขาพยายามอธิบายด้วยเสียงที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

เด็กหญิงเห็นว่าคนตัวโตไม่ได้เข้ามาทำร้ายหรือมีท่าทีคุกคามจึงพยายามตั้งใจฟัง

เขาเป็นใครกัน แต่งตัวประหลาดนัก ชุดที่เขาสวมข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน รูปร่างหน้าตาเขาก็ต่างจากทุกคนที่ข้าเคยพบ เหตุใดผมของเขาจึงสั้นนัก หรือว่าเขาเป็นนักโทษหนีอาญา แต่เขาบอกว่าเขาเป็นหมอ แล้วทำไมข้าจึงไม่รู้สึกกลัวเขาเลย เด็กหญิงคิดในใจ และจ้องมองเขาอย่างไม่แน่ใจ

เกรย์เห็นว่าเด็กหญิงเริ่มสงบลงแล้ว และเธอกำลังจ้องมองเขาด้วยท่าทีสงสัยปนหวาดระแวง เขาจึงอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ก่อนที่เราจะคุยกัน หนูสวมเสื้อผ้าก่อนดีไหม หมอจะออกไปรอข้างนอก ถ้าเสร็จแล้วเรียกหมอนะ” เขาบอกและไม่รอให้เด็กหญิงตอบรับ เขาก็หันหลังเดินออกไปจากกระท่อม

เขาไม่อยากเสียเวลาจึงเดินออกไปแถวนั้นเพื่อหาผลไม้ป่าที่อยู่ใกล้ ๆ มาให้ทั้งตนเองและเด็กหญิง เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ได้เห็นกล้วยที่สุกกำลังดี จึงใช้มือบิดกล้วยมาใส่ในห่อเสื้อ แล้วเดินกลับมาที่กระท่อม

ยืนรออีกครู่ใหญ่ เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงเรียกให้เข้าไป จึงเดินไปเคาะประตู

“หนูแต่งตัวเสร็จรึยัง หมอจะเข้าไปแล้วนะ” บอกจบก็ค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป จึงได้เห็นเด็กหญิงแต่งกายเรียบร้อยแล้วด้วยชุดเดิม ปิ่นประดับกลับไปปักอยู่บนศีรษะเล็ก ๆ นั่นหมดทุกอันเช่นกัน

เกรย์หยิบกล้วยบางส่วนที่เขาเก็บมาได้ เดินเข้าไปหาแล้ววางเอาไว้ใกล้ ๆ เด็กหญิง แล้วจึงถอยออกมานั่งตรงที่เขานั่งมาทั้งคืน

แล้วสงครามจ้องตาจึงเริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมหลบไปก่อน เด็กหญิงจ้องหมอหนุ่มด้วยความสงสัย  สุดท้ายเกรย์ก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยทำลายความเงียบ

“หนูอยากออกไปล้างหน้าหน่อยไหม ที่ข้างกระท่อมมีลำธาร น้ำใสเชียว ล้างหน้าแล้ว หนูค่อยมากินกล้วย นี่ก็ผ่านมาคืนหนึ่งแล้ว หนูคงหิว หรืออยากจะไปปลดหนักปลดเบา ในป่าก็ได้ตามสบาย หมอจะรอที่นี่” 

เด็กหญิงได้ฟังแบบนั้น ใบหน้าเล็กๆ ก็พลันแดงจัด แก้มเนียนร้อนผ่าวด้วยความอายทันที 

หน้าไม่อาย เหตุใดเขาจึงกล่าวเรื่องแบบนี้ได้ไม่อายปาก นางนึกในใจ

เกรย์แปลกใจว่าทำไมจนป่านนี้แล้ว เด็กหญิงจึงไม่ยอมพูดกับเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าเป็นใบ้ เพราะเมื่อตอนเช้าที่ผ่านมาเด็กหญิงยังร้องไห้เสียงดังอยู่เลย

หรือว่าหน้าแดงเช่นนั้น ไข้จะกลับอีกแล้ว!!!

เกรย์ทำท่าจะลุกเพื่อไปวัดไข้เด็กหญิง ทำให้เจ้าตัวรีบลุกขึ้นและเดินออกมานอกกระท่อม

เด็กหญิงเดินไปที่ลำธารเล็ก ล้างไม้ล้างมือและวักน้ำมาล้างหน้า บ้วนปาก ใช้ชายผ้าซับน้ำบนใบหน้าจนแห้ง แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในกระท่อม นั่งลงตรงเตียงไม้ไผ่ที่ใช้เป็นที่นอนมาตลอดทั้งคืน

นางไม่ได้รู้สึกกลัวชายหนุ่มตรงหน้า เเต่กลับรู้สึกเขินอายเสียมากกว่า นางคิดว่าถ้าเขาจะทำไม่ดีกับนาง เขาย่อมไม่ช่วยนางไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และเขาคงไม่ใช่พวกโจรที่ทำให้นางต้องพลัดจากองครักษ์และหนีมาถึงที่นี่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตา สีตา เครื่องแต่งกายเช่นนี้ช่างแตกต่างจากคนที่นี่อย่างลิบลับ ทำให้นางสงสัยใคร่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นใคร มาจากไหน

“ขอบใจเจ้า” คำแรกที่เปล่งออกมาจากปาก ทำให้เกรย์หันไปสบตาเด็กหญิงอีกครั้ง 

“ไม่เป็นไร รีบกินกล้วยเถอะ หนูคงหิวแล้ว” เขาเอ่ยเตือน

“แล้วท่านไม่กินหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงถาม

เกรย์ไม่อยากให้เด็กหญิงสงสัยที่เขาไม่รู้สึกหิว จึงหยิบกล้วยที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมากิน ทั้งสองคนนั่งกินกล้วยกันเงียบ ๆ จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาจึงเอาหม้อที่ใช้ต้มน้ำเมื่อคืนไปตักน้ำให้เด็กหญิงดื่ม

เมื่อดื่มเรียบร้อย เด็กหญิงก็ส่งคืนให้เขา เกรย์รับหม้อไปวางไว้ใกล้กับกองไฟ แล้วถอยมานั่งตรงที่เดิม

ความเงียบระหว่างทั้งสองคนเกิดขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุม เสมือนการเล่นเกมจิตวิทยา ใครพูดขึ้นก่อนเป็นฝ่ายแพ้

อีกเช่นเคยที่เกรย์ทนความเงียบไม่ไหว เพราะเขาต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่

“หนูชื่ออะไร อายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมมาอยู่ในป่าแบบนี้คนเดียว พ่อแม่ไปไหนหมด หมอชื่อ ‘เกรย์’ นะ” 

“ข้ามีนามว่า ‘ชิงหรู’ อายุสิบปี ท่านแม่อยู่บนสวรรค์ ท่านพ่ออยู่ที่บ้าน ข้าหนีโจรมาทำให้พลัดหลงกับคนรับใช้จนมาพบท่านหมอกางเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบ หากบอกเพียงนาม ไม่บอกแซ่ แต่เกรย์ก็ไม่ได้สงสัยอะไร

“หมอชื่อเกรย์ ไม่ใช่ชื่อกาง” เขาพยายามออกเสียงให้เด็กหญิงฟัง

“กาง กาง กวาง” เด็กหญิงพยายามออกเสียงตามที่ชายหนุ่มสอน สุดท้ายเสียงที่ออกมาจึงเป็นกวาง

“อ้อที่แท้ท่านหมอชื่อ ท่านหมอกวางนี่เอง ชื่อนี้ช่างเหมาะกับท่านหมอยิ่งนัก” เด็กหญิงเอ่ยชม

(Guang –  กวาง        = แสงสว่าง)

เอาวะ จากหมาป่าเป็นกวาง ถึงมันจะเสียศักดิ์ศรีนิดหน่อย ก็ช่างมันเถอะ เขานึกในใจเพราะเด็กหญิงออกชื่อของเขาไม่ได้สักที แถมยังตั้งชื่อใหม่ให้ด้วย

“ท่านหมอกวาง แล้วเหตุใดท่านถึงอยู่ในป่านี่คนเดียว เหตุใดท่านถึงแต่งกายเช่นนั้น ท่านเป็นนักโทษหนีอาญาใช่หรือไม่” 

เกรย์เริ่มเอะใจ ภาษาที่เขากำลังสื่อสารกับเด็กหญิงไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่ทำไมเขาถึงเข้าใจที่เด็กหญิงพูด มองจากการแต่งกาย คำพูดคำจา มันไม่น่าจะใช่ยุคสมัยที่เขาอยู่ รวมถึงกระท่อม หม้อ การจุดไฟต่าง ๆด้วย 

“หมอไม่ใช่นักโทษหนีอาญาอย่างที่หนูเข้าใจ” เกรย์ตอบ

“แต่ท่านหมอแต่งกายไม่เหมือนคนที่นี่ และยังผมสั้น มีแต่นักโทษเท่านั้นที่ถูกตัดผมให้สั้นหรือกล้อนผม แต่ท่านมีดวงตาที่สวยมากเลย” ชิงหรูอธิบาย

“ชุดนี้เหรอ เป็นชุดที่หมอต้องใช้ทำงาน ที่บ้านของหมอก็ตัดผมสั้นกันเเบบนี้ มีแค่บางคนเท่านั้นที่จะไว้ผมยาว และขอบใจนะที่ชม”

“หนู ที่นี่ที่ไหนเหรอ” เขาเริ่มถาม

“ท่านหมอ ที่นี่คือเมืองหานเจีย เมืองหลวงแคว้นเซี่ย ท่านหมอไม่ทราบหรือเจ้าคะ” ชิงหรูจ้องมองหมอหนุ่มอย่างสงสัย

“อะไรนะ! เมืองหานเจีย! เมืองหลวงแคว้นเซี่ย!?” เขาอุทานออกมา

เมืองหานเจีย เมืองหลวงแคว้นเซี่ย แล้วมันอยู่ตรงส่วนไหนของโลกวะ เกรย์คิดในใจ

“หนู หมอขอถามใหม่ว่าที่นี่ปี ค.ศ.อะไร หนูอยู่ประเทศอะไร” เขาลุกขึ้นและยืนมองเด็กหญิงอย่างสงสัยเต็มเปี่ยม

“สิ่งใดคือ ค.ศ. สิ่งใดคือประเทศล่ะ ท่านหมอกวาง ข้าไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่ท่านหมอถามเลยเจ้าค่ะ” ชิงหรูถามกลับด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

“โอ้ว พระเจ้า!” เกรย์อุทานเสียงดัง พร้อมกับเอามือขวาตบไปที่หน้าผากตนเองเสียงดังป้าบ

“Fuck ดันลืมตัว ตบเสียแรง” เขาสบถออกมา

“ใช่แน่ ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรที่อธิบายได้มากกว่านี้อีกแล้ว เราคงทำงานหนักจนตาย แล้ววิญญาณมาโผล่ในโลกนี้ อาจจะหัวใจล้มเหลว แต่เอ๊ะ! เราไม่มีประวัติเป็นโรคหัวใจนี่นา หรือเราฝัน ถ้าเราฝัน อะไรมันจะสมจริงขนาดนี้”

“ไม่ ไม่ มันไม่สมเหตุสมผล ถ้าเราตายทำไม เรารู้สึกเจ็บละ แต่ถ้าไม่ตาย ทำไมไม่รู้สึกหิวหรือรู้สึกร้อนเลยล่ะ โอ๊ย! สรุปเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไหนจะเรื่องภาษาที่เราเข้าใจทั้งที่มั่นใจว่าไม่ใช่ภาษาอังกฤษอีก”

เกรย์บ่นพึมพำและเดินกลับไปกลับมาอย่างคนใช้ความคิด ชิงหรูได้แต่มองตามก่อนจะเรียกให้เขาหยุดเดิน

“ท่านหมอกวาง ท่านหมอกวางเจ้าคะ ท่านหยุดเดินก่อนได้หรือไม่ ข้าตาลายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” ชิงหรูตะโกนบอก จึงทำให้เขาหยุดเดินแล้วหันไปมองเด็กหญิง

“อ๊ะ! เมื่อกี้หนูว่าอะไรนะ” 

“ข้าบอกให้ท่านหยุดเดินไปเดินมาก่อนได้หรือไม่ ข้าเวียนหัวเจ้าค่ะ” 

“อ้อ! ได้สิ ขอโทษนะ หมอตกใจมากไปหน่อย หมอจะนั่งตอนนี้แหละ” เกรย์สูดลมหายใจลึกสามครั้งเพื่อบอกให้ตนเองให้มีสติ แล้วจึงค่อยวิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ตรงหน้าใหม่ 

“หนูเล่าให้หมอฟังหน่อยว่าที่นี่เป็นยังไง นอกจากที่เป็นเมืองหานเจีย เมืองหลวงแคว้นเซี่ยแล้ว เช่น ผู้นำของแคว้น อาชีพ หรือการเดินทาง มีไฟฟ้าใช้หรือเปล่า”

“แคว้นเซี่ยมีฮ่องเต้เซี่ยชิงหลงเป็นผู้ปกครองแคว้น เมื่อครั้งที่เริ่มต้นขึ้นครองราชย์ มีการลอบปลงพระชมน์ หมอหลวงสามารถยื้อชีวิตพระองค์มาจากประตูผีได้ แต่กลับทำให้พระองค์สูญเสียความสามารถในการให้กำเนิดโอรสธิดาไปพร้อมกับสูญเสียฮองเฮาผู้เป็นที่รัก”  

“โชคดีว่าตอนที่พระองค์ยังเป็นรัชทายาท ก่อนจะขึ้นครองราชย์ ไท่จื่อเฟยหรือฮองเฮาพระองค์นั้นมีธิดาให้กับฮองเต้หนึ่งองค์”

“การเดินทาง ไม่ว่าแคว้นเซี่ยหรือแคว้นไหน ๆ ก็ใช้ม้า ลา เกวียนหรือรถม้าในการเดินทาง ส่วนอาชีพชาวบ้านมักเข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่ามาขาย พวกพืชหรือสมุนไพรต่าง ๆ รวมถึงทำไร่ทำนา คนชั้นกลางทำการค้า มีโรงเตี๊ยม ร้านขายผ้า ร้านขายเครื่องประดับ พวกบัณทิตจึงเป็นอาจารย์ ตามสำนักศึกษาต่าง ๆ อีกหนึ่งอาชีพคือทหาร”

“แต่ไฟฟ้าคืออะไรเจ้าคะ ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ” ชิงหรูเล่าให้หมอหนุ่มฟังและถามกลับ

“ชัดเลย ไม่ต้องถามต่อแล้ว ไม่มีไฟฟ้า เดินทางด้วยม้าและเกวียน มีฮ่องเต้เป็นประมุข นี่มันประเทศจีนยุคโบราณแบบไม่ต้องสงสัย เป็นเพราะไอ้ข่าวบ้านั่นแน่นอนทำฉันเสียแสบเลย” เกรย์สรุปให้ตนเองเสร็จสรรพว่าตนเองกำลังฝันอยู่ เพราะข่าวที่ได้เห็นผ่านตาในวันนั้น

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ