ตอนที่ 6. เจ้าลูกหมาน้อย

เกรย์นั่งสงบสติอารมณ์ตนเองอีกครู่ใหญ่หลังจากสรุปได้แล้วว่าตนเองกำลังฝันอยู่แน่นอน

“เห้อ ช่างมัน แค่ฝันเดี๋ยวก็ตื่น ถือว่ามาพักร้อน ตั้งแคมป์แล้วกัน” เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ท่านหมอกวาง ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” ชิงหรูถาม

“ไม่มีอะไร แล้วหนูจะทำยังไงต่อไป”

“ข้าจะพักที่นี่อีกหนึ่งวัน เผื่อคนรับใช้ออกตามหาจะได้ไม่คลาดกัน แต่ถ้ายังไม่มีใครมาตาม ข้าจะออกเดินทาง ถ้ามีกระท่อมอยู่ตรงนี้ก็หมายความว่าต้องมีหมู่บ้านอยู่ใกล้ ๆ ข้าไม่อยากรอคอยอย่างไร้จุดหมาย ท่านหมอกวางล่ะเจ้าคะ ท่านเป็นคนเมืองไหน” 

“หมอมาจากเมืองที่ไกลมาก บ้านเมืองของหมอต่างจากที่นี่ หมอไม่รู้ว่าหมอมาที่นี่ได้ยังไง พวกเราเดินทางโดยใช้เครื่องบิน มันเหมือนนกตัวใหญ่บินอยู่บนท้องฟ้า มันสามารถพาคนเดินทางข้ามเมืองได้อย่างรวดเร็ว”

“บ้านที่เราอาศัยเป็นสิ่งก่อสร้างสูงหลายชั้น คนที่นั่นเรียกกันว่าตึก เรามีโทรศัพท์ที่สามารถพูดคุยแบบเห็นหน้าทั้งที่อยู่กันคนละเมืองดาบและธนูไม่ใช่อาวุธไว้ฆ่ากัน มันใช้เป็นกีฬาของคนบางกลุ่ม”

“ข้าอยากรู้จักบ้านเมืองของท่านหมอแล้วสิ ข้าจะมีโอกาสได้ไปเยือนบ้านเมืองของท่านหมอหรือไม่” ชิงหรูเอ่ยอย่างตื่นเต้น ตอนนี้เด็กหญิงก้าวลงมาจากเตียงไม้ไผ่ มานั่งใกล้ ๆ หมอหนุ่ม เพื่อฟังเรื่องราวแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“หมอคงรับปากหนูไม่ได้หรอก เพราะหมอยังหาทางกลับบ้านไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าหมอจะอยู่เป็นเพื่อนรอคนของหนู ถ้าพวกเขายังไม่มา หมอจะไปส่งที่เมืองใกล้ ๆ นี่ ดีไหม” 

“ขอบคุณท่านหมอกวางมากเจ้าค่ะ” 

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราลองออกไปเดินดูรอบ ๆ กระท่อมดีไหม เผื่อจะเจออะไรที่เราเก็บมากินได้ แค่กล้วยนั่นคงไม่พอ” เกรย์ออกความเห็นพร้อมกับบุ้ยปากไปทางกล้วยที่เหลืออยู่ไม่กี่ลูก

“ข้าว่าดีเหมือนกันเจ้าค่ะ เผื่อหาฟืนมาเพิ่มด้วย” ชิงหราเอ่ยและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หนึ่งชายหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงเดินสำรวจในป่าเพื่อเก็บฟืนขนาดต่าง ๆ เกรย์แบกท่อนไม้ขนาดใหญ่ เด็กหญิงหอบกิ่งไม้ที่มีขนาดเล็ก พวกเขาเดินกันอยู่หลายรอบกว่าจะเพียงพอสำหรับคืนนี้

ทั้งสองคนล้างมือล้างหน้าให้คลายร้อนจากการออกแรงหาฟืน ก่อนจะมานั่งคุยใต้ร่มไม้ริมลำธาร

ชิงหรูดูสนุกสนานและตื่นเต้นกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกรย์เล่าให้ฟัง เขาจ้องมองเด็กสาวแล้วก็หวนคิดถึงอาหยาง เด็กชายชาวจีนคนนั้น เด็กสองคนอายุไล่เลี่ยกัน กำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น ทำให้เขาเอ็นดูเด็กหญิงกว่าเดิม

“ท่านหมอกวาง ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ชายหนุ่มสองคนสามารถทำพิธีแต่งงานกันได้อย่างปกติหรือเจ้าคะ ที่นี่ใครเป็นชายตัดแขนเสื้อจะถูกจับไปถ่วงน้ำจากคนในครอบครัว เพราะเป็นการทำให้ครอบครัวเสื่อมเสีย บ้านเมืองของท่านช่างแปลกเสียจริง” ชิงหรูอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อในเรื่องที่ได้ฟัง

“ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่ชายเท่านั้นนะ หญิงสาวทั้งสองคนถ้ารักกันก็สามารถทำพิธีแต่งงานกันได้เช่นกัน”

“บ้านเมืองของท่านแปลกจริง ๆ ข้ากลับรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม เหตุใดเราต้องมีข้อจำกัดในเรื่องชายเรื่องหญิงด้วย ถ้าข้ารักใครสักคน ข้าไม่สนใจฐานะหรืออายุ ขอเพียงแค่ได้รักและเขาก็รักข้าเท่านั้นก็พอใจแล้ว”

“อายุแค่นี้ก็คิดถึงเรื่องความรักแล้ว? คิดมากระวังจะแก่ไวนะ” เกรย์บอกล้อๆ และดีดนิ้วลงบนหน้าผากมนอย่างเอ็นดู

“โอ๊ย! ท่านหมอกวางเหตุใดท่านตีข้าล่ะเจ้าคะ ข้าพูดผิดตรงไหน” ชิงหรูลูบหน้าผากตนเองป้อย ๆ 

“ที่บ้านของหมอ อายุเท่าหนูยังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เลย หนูยังเด็ก ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องความรักในตอนนี้หรอก เข้าใจไหม” 

“อีกแค่สองสามปีข้าจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้วนะเจ้าคะ ข้าสามารถออกเรือนได้แล้ว 

“หา!!! เจ้าจะแต่งงานทั้งที่อายุเท่านี้น่ะนะ” เกรย์ตกใจที่ได้ยินว่าอีกสองสามปีเด็กหญิงก็แต่งงานได้แล้ว ถ้าเป็นลูกเขาล่ะก็ ไม้เรียวในมือสั่นแน่ ๆ 

“มิเห็นแปลกเลยเจ้าค่ะ เด็กสาวที่นี่แต่งงานกันช่วงอายุเท่านี้ทั้งนั้น ถ้าแต่งงานช้า เป็นสาวเทื้อ ครอบครัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเจ้าค่ะ”

“ที่บ้านเมืองของหมอส่วนมากพวกเขามักแต่งงานกันตอนอายุยี่สิบกว่าขึ้นไป พวกเขาชอบอิสระและอยากสนุกให้มากก่อนจะต้องหมดอิสรภาพ แต่ช่างเถอะ หมอว่าเราไม่ต้องคุยกันเรื่องนี้แล้วล่ะ ในลำธารน่าจะมีปลา เราลองไปดูกันไหม” เขาหันไปถามความเห็นเด็กหญิงก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปตามลำธาร

“ข้าไม่เคยจับปลาเลยนะเจ้าคะ ท่านหมอกวางเคยจับปลา?” เด็กหญิงถาม ตอนนี้ทั้งสองคนมายืนอยู่เกือบกลางลำธาร และกำลังจ้องมองปลาที่ว่ายไปมา

“หมอไม่เคยจับปลามือเปล่าหรอก แต่ว่ามันต้องมีวิธีสิ ขอหมอคิดก่อน หมอไม่อยากเป็นลิงนะที่จะต้องกินกล้วยทุกวัน” เกรย์บอก เขาเป็นแฟนตัวยงของสารคดีเอาตัวรอด และคิดว่าอยากลองทำตามมานาน วันนี้เค้าจะงัดทุกวิธีมาลองใช้เสียที

“ฮิ ฮิ ท่านหมอช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก ท่านไม่เห็นจะเหมือนลิงเลยเจ้าค่ะ ออกจะรูปงามด้วยซ้ำ” เด็กหญิงบอกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อเอ่ยชมชายหนุ่ม

เกรย์หันหน้ามามองหลังจากได้ยินคำชม เพราะเขาสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร เมื่อหันหน้ามองร่างเล็กตรง ๆ จึงเห็นปิ่นที่ปักอยู่บนศีรษะเด็กหญิง

“หมอขอยืมปิ่นปักผมหน่อยได้ไหม หมอจะเอามาจับปลาน่ะ” 

“ได้เจ้าค่ะ แต่ท่านหมอจะเอาอันไหนล่ะเจ้าคะ” ชิงหรูถามก่อนจะโน้มศีรษะตนเองเข้าไปใกล้เขาอีกนิด

“งั้นหมอหยิบเลยนะ ตามหมอมาทางนี้” เกรย์ยื่นมือไปหยิบปิ่นเรียบ ๆ ไม่มีพู่ระย้ามากนักมาอันหนึ่ง เขาเดินกลับขึ้นไปบนฝั่ง หากิ่งไม้ที่มีขนาดพอเหมาะและแข็งแรงพอที่จะใช้จับปลา

ส่วนเด็กหญิง เขาสั่งให้ไปหาเถาวัลย์เหนียวขนาดเล็กสำหรับมัดปิ่นกับไม้เข้าด้วยกัน ช่วยกันทำไม่นาน ไม้แทงปลาจึงพร้อมสำหรับใช้งาน ทั้งสองคนเดินลุยน้ำลงไปอีกครั้ง 

“ท่านหมอทางนั้นเจ้าค่ะ ทางนั้น โธ่ ท่านหมอ เหตุใดจึงช้านักเล่า ปลาว่ายหนีไปหมดเลยเจ้าค่ะ” ชิงหรูเป็นคนเดียวที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคอยสั่งหมอหนุ่มให้แทงปลา 

ด้วยยังไม่คุ้นชินทำให้เกรย์เสียเวลาในการปรับตัวและหาจังหวะในการแทงปลา แต่ด้วยความฉลาดของเขา ไม่นานเขาก็เริ่มจับทางได้ เขาแทงปลาที่ว่ายไปมาในลำธารได้หลายตัว

ทั้งสองคนช่วยกันจับปลานานกว่าชั่วโมงด้วยความสนุกสนาน เมื่อเขาแทงปลาได้ เด็กหญิงจะนำไปใส่หม้อที่มีเพียงใบเดียวในกระท่อม เอามาใส่น้ำไว้บนฝั่งป้องกันปลากระโดดออกจากหม้อ

“โอ๊ะ!!” 

ชิงหรูอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะตอนขากลับจากเอาปลาไปใส่ในหม้อ ด้วยความไม่ระวังทำให้เด็กหญิงสะดุดก้อนหินใต้น้ำทำให้ล้มลงไปจนน้ำแตกกระจาย

“หนูระวังหน่อย อยากเปียกเป็นลูกหมาหรือไงเราน่ะ เป็นไงบ้าง” เกรย์หันมาถามด้วยความเป็นห่วง

ชิงหรูพยุงตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ช่างเป็นเรื่องน่าอายยิ่งนัก เพราะในการลุกขึ้นอีกครั้ง เท้าที่ยังยืนได้ไม่มั่นคงก็สะดุดหินล้มไปอีกรอบ

“ร้อนมากเหรอ เปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำเลยนะ เป็นไง เย็นสดชื่นดีไหม” เขาบอกก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทั้งยังเอ่ยแซวเด็กหญิงอีกด้วย

เด็กหญิงทำหน้ายู่ เบ้ปากด้วยความขัดใจและอับอายยิ่งนัก ก่อนที่จะหาทางพยุงตนเองเดินมาหาเขาได้สำเร็จ

เกรย์ก็เพิ่งคิดได้ว่าเด็กหญิงเพิ่งหายจากไข้ ขืนเล่นน้ำและตัวเปียกแบบนี้ ไข้กลับแน่

“ตัวหนูเปียกน้ำหมดแล้ว รีบขึ้นมาก่อน หมอจะไปสุมไฟให้แรงขึ้น หนูจะได้ตากเสื้อผ้าได้ รอหมอแป๊ปนะ” 

เขาถือวิสาสะเอื้อมไปจับมือเด็กหญิงไว้ และจูงมือพากลับเข้าฝั่งด้วยความเป็นห่วงว่าเด็กหญิงจะล้มลงไปอีก 

เหตุใดข้าจึงใจเต้นแรงเช่นนี้ ท่านหมอกวาง ท่านทำอันใดกับข้ากันแน่ ชิงหรูคิดในใจขณะมองมือใหญ่ที่จับกุมข้อมือของตนเองไว้ เด็กหญิงยิ้มหวานอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน

มือท่านหมอช่างอบอุ่นนัก ชิงหรูคิดอย่างมีความสุข

เกรย์เดินนำเด็กหญิงเข้าไปในกระท่อม จัดการก่อไฟที่มอดไปแล้วให้ลุกโชนอีกครั้ง เสร็จแล้วจึงเดินไปหลังกระท่อม หาไม้ที่มีความยาวมากหน่อย หอบไปทำเป็นราวแขวนเสื้อในกระท่อม ก่อนจะถอดเสื้อตนเองออกและวางไว้ที่เตียงไม้ไผ่ ชิงหรูเห็นเขาถอดเสื้อก็หลับตาหันหน้าหนีทันที

“ท่านหมอกวางเหตุใดท่านจึงถอดเสื้อเล่าเจ้าคะ” ชิงหรูถามขึ้นด้วยความอาย

“โอ้! หมอขอโทษ หมอไม่มีเจตนาที่ไม่ดีนะ หมอเห็นตัวหนูเปียกและเพิ่งหายจากไข้ หนูถอดชุดออก แล้วคลุมด้วยเสื้อของหมอ เอาชุดหนูไปผิงไฟให้แห้งจะได้ใส่อีกครั้งในตอนเย็น” เขารีบอธิบายก่อนจะเกิดการเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“อย่างงั้นหรอกหรือ ขอบคุณท่านหมอกวางมากที่เป็นห่วงข้า” ชิงหรูยื่นมือไปหยิบเสื้อของเขามาจากเตียงไม้ไผ่

เกรย์เดินออกไปนอกกระท่อมและจัดการกับปลาที่อยู่ในหม้อ หาไม้มาคีบสำหรับย่างคืนนี้

เขาไม่มีมีดที่จะควักไส้ปลา เขาจึงต้องย่างปลาทั้งอย่างนั้น หลังจากเตรียมปลาเสร็จแล้ว จึงเดินกลับไปที่เครือกล้วยที่เจอในตอนเช้าและบิดกล้วยที่สุกหน่อยมาเพิ่มอีกห้าหกลูก เพราะแค่ปลาก็อิ่มท้องไม่นาน

เขาไม่ได้กลับเข้าไปในกระท่อมจนตะวันเกือบลับขอบฟ้า จึงได้ส่งเสียงบอกชิงหรู ก่อนจะถือปลาที่เตรียมไว้เข้าไปในกระท่อม

เด็กหญิงสวมใส่เสื้อผ้าของตนเองแล้ว เขาจึงหยิบเสื้อมาสวมบ้าง ทั้งสองคนลงมือย่างปลาด้วยกัน พูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ และวางแผนการเดินทางวันพรุ่งนี้

เป็นเหมือนคืนที่ผ่านมา ชิงหรูนอนบนเตียงไม้ไผ่ เกรย์นอนที่หน้ากองไฟ โชคดีที่เด็กหญิงไม่มีไข้ในคืนนี้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ