ตอนที่ 4. แรกพบ

ช่วงนี้เกรย์ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะต้องทำงานแทนหมอเกร็ก ที่ครั้งก่อนหมอเกรย์โยนงานการฝึกงานของหมออินเทิร์นทั้งห้าคนไปให้ ทั้งยังช่วงนี้ยังเป็นเทศกาลดนตรีในเมืองบอสตัน ซึ่งจัดถึงเจ็ดวัน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา

เมื่อมีเทศกาล มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย่อมต้องมีเรื่องการชกต่อย อุบัติเหตุตามมาด้วยเสมอ ทำให้เกรย์งานยุ่งรัดตัว บางวันเขาไม่มีแม้เวลากินอาหารด้วยซ้ำ สุดท้ายเมื่อร่างกายรับไม่ไหว เขาจึงเป็นลมหมดสติไป

“ว้าย หมอเกรย์” พยาบาลในห้องฉุกเฉินร้องออกมาหลังจากที่เห็นเขาล้มลงไปบนพื้นขณะก้าวเข้ามาในห้องผ่าตัด

“เรียกเวรเปลมาช่วยกันยกหมอเกรย์ขึ้นบนเตียงก่อน อย่าลืมโทรตามหมอแอนเดอสันมารับช่วงผ่าตัดแทนหมอเกรย์ด้วย คนไข้รอไม่ได้ต้องผ่าตัดวันนี้” หมอลินดาตะโกนสั่งงานทันที ตอนนี้เธอต้องควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด 

ไม่ถึงห้านาทีเจ้าหน้าที่เวรเปลก็เข็นเตียงมารับหมอเกรย์ ออกไปจากห้องผ่าตัด ส่งต่อไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อปฐมพยาบาล

เกรย์หมดสติไปนานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ เขารู้สึกตัวเมื่อแสงแดดกำลังแยงตา เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น กะพริบตาสองสามทีเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินก่อนจะต้องเบิ่งตากว้างอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าตนเองอยู่ที่ใด

 “ที่นี่ที่ไหน” เขาหลุดปากออกมา

เกรย์จำได้ว่าเขาหมดสติในห้องผ่าตัด เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาควรอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลสิ แต่ตรงหน้าที่เห็นคือป่าใหญ่ที่มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด

เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน พลางก้มลงมองสำรวจตนเอง ก็พบว่าตนเองยังคงสวมชุดสีเขียวสำหรับใส่ในห้องผ่าตัด  แต่ไม่มีหมวก ถุงมือหรือหน้ากากปิดจมูก รองเท้าเป็นรองเท้าผ้าใบคู่โปรดที่เขาใส่ทำงาน

เกรย์ใช้มือตบไปตามร่างกายเพื่อสำรวจความผิดปกติ แต่ไม่พบอะไรติดตัวมาเลย ที่สำคัญคือร่างกายเขาแข็งแรงดี ซึ่งผิดปกติอย่างยิ่ง ปกติร่างกายคนเราต้องการน้ำและอาหารเมื่อเวลาผ่านไปนานเกินแปดชั่วโมง แต่ร่างกายเขาตอนนี้ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือหิว

เกรย์สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันหรือตาฝาดไป เขาจึงเลิกตื่นตระหนก ด้วยอาชีพของเขาที่ต้องยื้อแย่งลมหายใจของคนไข้จากมัจจุราชอยู่เสมอ ทำให้เขาตั้งสติได้เร็ว

เขากวาดตามองรอบด้านอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากบริเวณที่เขาฟื้นขึ้นมา เขาเดินไปเรื่อย ๆ พลางใช้สายตาสอดส่ายไปทั่ว เผื่อจะเจอใครสักคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ พระอาทิตย์ที่สาดแสงร้อนแรงตรงศีรษะบ่งบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงวัน เป็นเรื่องแปลกอีกหนึ่งอย่างที่เขาไม่รู้สึกร้อนสักนิดเดียว

เกรย์เดินมากว่าสามชั่วโมง เขาใช้การกะเวลาจากที่เริ่มแรกเป็นพระอาทิตย์ตรงศีรษะ แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว อีกไม่นานความมืดย่อมมาเยือน โชคดีที่ชายหนุ่มเจอเข้ากับกระท่อมร้างหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ลำธารขนาดเล็ก 

“น่าจะเป็นกระท่อมของนายพรานตอนที่ออกมาล่าสัตว์มั้ง” เกรย์พูดกับตนเอง เขาตัดสินใจค้างที่กระท่อมหลังนี้ การเดินทางตอนกลางคืนไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดพึงทำ

เขาไม่กังวลเรื่องอาหาร เพราะเดินมาทั้งวันแล้วก็ไม่รู้สึกหิว แม้จะไม่หิว แต่ตอนกลางคืนต้องมืดมากแน่ๆ เพราะนี่เป็นกลางป่า เกรย์จึงค้นหาสิ่งที่จะทำให้เขาก่อไฟได้ อย่างน้อยกองไฟก็ให้แสงสว่าง เขาไม่ชอบความมืดอยู่แล้ว ยิ่งในสถานการณ์ที่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

เขาเดินเข้าไปในกระท่อมและกวาดตาสำรวจภายในอย่างรวดเร็ว ก็เห็นว่าเหมาะสำหรับเป็นที่พักชั่วคราว

“พอไหวแฮะ ถึงฝาผนังจะมีรู หลังคาจะรั่วไปหน่อย อย่างน้อยก็ยังมีเตียงไม้ไผ่เล็ก ๆ น่าเสียดายที่ไม่มีฟูกนอน”

“อ้อ! โชคดีแฮะมีหม้อเก่า ๆ ด้วย ตรงนี้น่าจะเอาไว้สำหรับก่อไฟ หินสามก้อนนี้คงเป็นเตา แล้วใช้อะไรติดไฟล่ะ” เขาพูดกับตัวเองก่อนจะหันรีหันขวาง เมื่อมองไม่เห็นอะไรที่พอจะเเก้ขัดได้ เขาจึงคลานเข่าเพื่อหาสิ่งที่เอาไว้ใช้ติดไฟ หาอยู่นานพอสมควรก็ได้มา

“อยู่นี่เอง” เกรย์หยิบหินเหล็กไฟสองสามก้อนที่วางหลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ออกมาวางไว้ใกล้กับพื้นที่สำหรับก่อกองไฟ

เขาเดินออกไปนอกกระท่อม เก็บกิ่งไม้หลายขนาดรวมถึงใบไม้ใบเล็ก ๆ หญ้าแห้งสำหรับเป็นเชื้อไฟ เมื่อเห็นว่าเพียงพอแล้ว จึงก่อไฟทันทีแม้จะยังไม่มืด เพราะเขาไม่เคยก่อไฟจากหินพวกนี้มาก่อน ดังนั้น ย่อมใช้เวลานานกว่าจะก่อไฟสำเร็จ

เขารู้ว่าหินสองสามก้อนที่เห็นนี่เอาไว้จุดไฟ เพราะเขาเคยดูสารคดีการเอาตัวรอดในป่า รายการทีวีดังของฮอลลีวู้ดนั่นแหละ

วันนี้จะได้ลองทำของจริงเสียที เขานึกในใจ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เขายังก่อไฟไม่สำเร็จ เพราะสะเก็ดไฟที่ออกมาจากการกระแทกของหิน มันอยู่ให้เขาเห็นแค่แป๊บเดียว ไม่นานพอที่จะติดไฟได้

เกรย์ฉีกชายเสื้อตนเองมาเป็นหัวเชื้อแทน ปรากฏว่าติดไฟง่ายกว่า เขาต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ก่อไฟได้แล้ว ชายหนุ่มออกไปลากกิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่มาทำเป็นฟืนแทนฟืนขนาดเล็ก เพราะเขากลัวว่าตอนกลางคืนหากเขาหลับสนิท ไฟอาจดับได้ และถ้าต้องฉีกเสื้อตนเองทุกครั้งที่ก่อไฟ มีหวังเขาได้เป็นโป๊เปลือยแน่

ก่อไฟได้แล้ว เขาจึงไปล้างหน้าล้างมือที่ลำธารเล็ก ๆ ก่อนกลับเข้าไปนอนพักในกระท่อม เพราะไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเหนียวตัว ไม่หนาว ไม่ร้อน เกรย์จึงหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทาง

เกรย์สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเขาได้ยินเสียงประตูเปิด แล้วตามด้วยเสียงดังตุบ!!

ก็เขาอยู่คนเดียวแล้วประตูจะเปิดได้อย่างไร เกรย์คิดอย่างหวาดระแวงและหวาดหวั่น

ชายหนุ่มหันหน้าไปทางประตูทันที และก็พบว่าตะวันตกดินไปแล้ว โชคดีที่ไฟที่ก่อไว้ยังไม่ดับ เขาจึงเห็นร่างตะคุ่ม ๆ ร่างหนึ่ง เกรย์ลุกขึ้นและมายืนข้างเตียงไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อปรับสายตาแล้วจึงได้เห็นว่ามีคนนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นใกล้กับประตูกระท่อม 

“เฮ้! ใครน่ะ!?” เกรย์ส่งเสียงถามออกไปแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ

“ใครน่ะ ทำไมมานอนตรงนี้” เขาถามออกไปอีกครั้งหากยังคงไม่มีการตอบรับใด ๆ

เขายืนมองอีกครู่อย่างชั่งใจก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าใกล้ร่างนั้น หากยังคงรักษาระยะห่างพอเอื้อมมือถึงเพื่อให้แน่ใจว่าเขาป้องกันตัวเองได้ทัน

เกรย์ยื่นมือผลักร่างนั้นให้นอนหงาย ใบหน้ามีผมยาวปกปิดไว้บางส่วน เขาใช้มือปัดปอยผมออกจึงได้เห็นวงหน้าเล็ก ๆ ขาวผุดผาด 

“หนู! หนู!” เขาพยายามเขย่าร่างบอบบางหลายครั้ง แต่ร่างนั้นยังคงไร้การตอบสนอง เกรย์ตัดสินใจอุ้มร่างเล็กนั่นมาวางบนเตียงไม้ไผ่ที่เขาใช้นอน

คราวนี้เขาจึงมีโอกาสมองอย่างชัดเจน ดูจากชุดที่สวมที่เป็นกระโปรง บอกชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิง

เกรย์หันไปสุมไฟให้แรงขึ้นอีกนิดเพื่อเพิ่มแสงสว่าง เขาลากเตียงไม้ไผ่ให้เข้าใกล้กองไฟอีกหน่อย เพราะต้องการตรวจดูว่าเด็กหญิงได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ อีกเหตุผลก็คืออากาศตอนกลางคืนอาจจะหนาวเย็น

 รอไม่นานกองไฟเริ่มลุกโชน ภายในกระท่อมจึงสว่างมากขึ้น เกรย์จึงได้มีโอกาสพิจารณาเด็กหญิงตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง

เด็กหญิงที่นอนหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนกับกำลังนอนหลับอยู่นี้ อายุน่าจะเท่ากับอาหยาง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นใหญ่กว่าฝ่ามือเขาแค่นิดเดียว หากน่ารักน่ามองมาก ๆ โตขึ้นต้องเป็นสาวที่สวยมากอย่างไม่ต้องสงสัย

เด็กหญิงมีเครื่องประดับหลายชิ้นประดับอยู่บนศีรษะ เกรย์ถอดออกบางส่วน เพราะเกรงว่าจะทำให้เธอนอนไม่สบาย ชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดี ลายปักบนผืนผ้าก็ประณีตอย่างเห็นได้ชัด 

เครื่องแต่งตัวแบบนี้ไม่เหมือนคนทั่วไปที่เขาเคยเห็น เกรย์ก้มลงใช้จมูกดมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเด็กหญิง เพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บและเลือดออก เขาไม่ต้องการเปลื้องเสื้อผ้าเด็กหญิงออกเพื่อสำรวจหาบาดแผล การดมกลิ่นเลือดเป็นการทดสอบเบื้องต้นได้ระดับหนึ่ง

เมื่อไม่ได้กลิ่นเลือด เขาจึงโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ ตอนนี้คงต้องรอให้เด็กหญิงฟื้นขึ้นมาเท่านั้น

“เรามาโผล่ที่ไหนกันเเน่ หรือว่าเราตายไปแล้ว ตอนนี้เราเป็นวิญญาณ เลยไม่หิว ไม่ร้อน ไม่หนาว” เขาพูดกับตนเองก่อนจะหยิกที่แขนตนเองอย่างแรงเพื่อทดสอบ

“อุ้ย! เจ็บ! เจ็บ! มันเจ็บนี่หว่า”

วิญญาณต้องไม่รู้สึกเจ็บสิ เขาคิดในใจ

“ช่างมัน เดี๋ยวรอยัยหนูนี่ฟื้น ค่อยถามแล้วกัน” เกรย์บอกตนเอง เขานั่งอยู่ข้างกองไฟคอยสุมไฟตลอดคืนเพื่อไม่ให้ไฟดับ ตอนนี้น่าจะดึกมากแล้ว น้ำค้างลงแรง เขานั่งหลับข้างกองไฟโดยศีรษะซุกไปที่แขนที่วางไว้บนเข่าทั้งสองข้างก่อนจะผล็อยหลับไป

เกรย์สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงครางของใครสักคน เงยหน้าขึ้นมองจึงรู้ว่ามาจากเด็กหญิงบนเตียงไม้ไผ่ เขาลุกขึ้นไปยืนมองร่างเล็กที่นอนคู้ตัวสั่น ส่งเสียงครางงึมงำ จึงเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผาก ก่อนจะดึงมือออกแทบไม่ทัน เพราะเด็กหญิงเป็นไข้

เกรย์หยิบหม้อออกไปล้างที่ลำธารข้างกระท่อม โชคดีที่ยังพอมีแสงจันทร์สลัว ๆ ส่องทาง เขาจึงไม่ต้องงมทางไปลำธาร เมื่อไปถึงก็ใช้หม้อตักน้ำเพื่อมาต้มน้ำ และหันมาถอดเสื้อผ้าเด็กหญิงออก แล้วใช้กระโปรงคลุมไปบนร่างเด็กหญิงแทนผ้าห่ม เอาผ้าที่ถอดมาจากชุดบางชิ้นใช้เป็นผ้าเช็ดตัว

ด้วยความเป็นหมอ เกรย์จึงไม่ได้คิดอะไรนอกจากช่วยบรรเทาพิษไข้ และนี่ก็เป็นเด็กอีกด้วย

เด็กที่เป็นไข้และมีอาการหนาวสั่น ต้องใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวเพื่อไล่ความร้อน เกรย์เช็ดตัวให้เด็กหญิงทั้งคืน จนใกล้รุ่งเช้าอาการไข้จึงลดลงและนอนหลับได้สงบ ไม่หนาวสั่นอีกต่อไป เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย และเมื่อแน่ใจว่าเด็กหญิงไข้ลดแล้ว เขาจึงเผลอหลับไป

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ