อาคารหลังใหญ่กลางกรุงเทพฯ สะท้อนแสงแดดยามบ่ายจากกระจกเงาวาวจนแทบมองไม่ได้
กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ จากเฟอร์นิเจอร์นำเข้าแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศ ทุกอย่างภายในห้องรับรองช่างดูเรียบหรูและสง่างาม ยกเว้นเพียงหัวใจของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเต้นระรัวแทบหลุดจากอก
ลลิตาได้รับการติดต่อจากบริษัทอุ้มบุญให้มาทำสัญญาที่นี่ ตอนนี้เธอนั่งตัวแข็งบนโซฟาหนังแท้ มือกำกระเป๋าสะพายแน่น เธอพยายามกลั้นความประหม่าและกลัวจนเหงื่อซึมเต็มฝ่ามือ
เบื้องหน้าของเธอ คือโต๊ะกลางที่วางแฟ้มเอกสารสัญญาไว้เรียบร้อย และถัดไป คือชายหนุ่มในชุดสูทหรู ที่นั่งไขว่ห้างราวกับโลกทั้งใบอยู่ใต้ฝ่าเท้า
คิมหันต์ เขาเหลือบมองเธอเพียงแวบเดียว ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังเอกสารของตัวเอง แววตาไร้เยื่อใยราวกับมองเธอเป็นเพียง “วัตถุชิ้นหนึ่ง” ที่มาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันตามข้อตกลง
ทนายความวัยกลางคนที่นั่งข้างเขา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่เฉียบขาด
“นี่คือร่างสัญญาสำหรับการอุ้มบุญครับ คุณลลิตาสามารถอ่านอย่างละเอียดได้ ขอให้ทำความเข้าใจในแต่ละข้อก่อนตัดสินใจลงนามนะครับ”
ลลิตารับแฟ้มมาอย่างระมัดระวังเธอเปิดหน้าสัญญาทีละแผ่น หัวใจเต้นแรงเมื่อสายตาไล่ไปถึงบรรทัดที่ระบุไว้ชัดเจน
‘ผู้รับจ้างอุ้มบุญจะไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในตัวเด็กหลังคลอด ไม่สามารถเรียกร้องความสัมพันธ์ ความเป็นเจ้าของ หรือสิทธิทางกฎหมายใด ๆ ได้ และจะต้องปฏิบัติตามวิธีการตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด’
และใต้ข้อนั้น คือบรรทัดที่ทำให้เธอชะงักงัน ‘วิธีการอุ้มบุญ ใช้กระบวนการธรรมชาติเท่านั้น’
ลมหายใจของลลิตาสะดุด เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองชายหนุ่มที่ยังคงอ่านเอกสารของตัวเองอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะกลั้นใจถามเสียงแผ่ว แต่ชัดเจน
“หมายความว่า คุณจะไม่ใช้วิธีทางการแพทย์ ไม่ใช้การผสมเทียม หรือเด็กหลอดแก้ว”
คิมหันต์เงยหน้าขึ้นในที่สุด สายตาคมเฉียบของเขาตวัดมองเธออย่างเย็นเยียบก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทำให้เธอชาวาบทั้งร่าง
“ผมจ่ายให้คุณสิบล้าน ผมต้องการอะไร คุณก็แค่ต้องทำตาม ไม่ใช่ตั้งคำถาม”
ลลิตาเบิกตากว้าง ร่างชาวาบเหมือนถูกตบหน้า ความกลัว ความอับอาย และความเจ็บปะทะกันในอกจนแทบหายใจไม่ออก
“แต่ มันไม่แฟร์เลยนะคะ ฉันคิดว่ามันคือการอุ้มบุญ ไม่ใช่…”
เสียงเธอสั่น กำเสื้อไว้แน่น แต่ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็พูดตัดบทอย่างไม่แยแส
“มันคือเงื่อนไข ถ้าคุณไม่พร้อม ก็กลับไปซะ ผู้หญิงมีเป็นล้าน ถ้าคุณไม่อยากทำ คนอื่นก็พร้อมจะทำ อีกอย่าง...” คิมหันต์แค่นเสียงดูถูก “คนอย่างคุณ ไม่มีทางหาเงินสิบล้านได้ง่าย ๆ หรอก”
คำพูดนั้น…เหมือนมีดที่กรีดลึกลงกลางใจ เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าผู้หญิงที่นั่งตรงหน้าเขา ไม่ได้อยากได้เงินเพื่อใช้ชีวิตหรูหราแต่เธอกำลังแลก ‘ศักดิ์ศรี’ กับ ‘ลมหายใจของแม่’ ที่อาจหมดลงได้ทุกเมื่อ
ลลิตาก้มหน้าลงช้า ๆ น้ำตาซึมรื้นในดวงตามือที่ถือปากกาเอาไว้เริ่มสั่น แต่เธอก็เม้มปากแน่น แล้วค่อย ๆ เซ็นชื่อลงไปทีละตัวอักษร เธอไม่รู้เลยว่า จังหวะที่ปลายปากกาแตะกระดาษ นั่นคือวินาทีที่ ‘ชีวิตของลลิตา’ ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
เมื่อเซ็นเสร็จ เธอลุกขึ้นอย่างเงียบงัน เดินออกจากห้องประชุมโดยไม่หันกลับไปมองแม้แต่นิดเดียว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ที่ติดลอยอยู่ในห้องหรู และลมหายใจหนัก ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งขายอนาคตตัวเองให้กับผู้ชายเย็นชา
ในขณะเดียวกัน เมื่อหญิงสาวเข้ามาในห้องน้ำชั้นล่างของบริษัท ลลิตายืนพิงอ่างล้างหน้า ดวงตาแดงก่ำ เธอหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมากดริมฝีปากตัวเองแน่น ราวกับจะกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา เสียงพึมพำแผ่วเบาดังลอดออกมาเบา ๆ เหมือนคนปลอบใจตัวเอง
“…แม่คะ…หนูทำได้แล้วนะ หนูจะมีเงินรักษาแม่แล้ว…”
…………………………………………………..……….
รถลีมูซีนสีดำเคลื่อนตัวอย่างสง่างามผ่านประตูเหล็กบานใหญ่ของคฤหาสน์หรู เส้นทางภายในทอดยาวลึกจนมองไม่เห็นปลายสุด สองข้างทางคือแนวต้นสนสูงเรียงรายราวกับกำลังต้อนรับ หรือบางที อาจจะเฝ้ามองเธออย่างจับผิด
ลลิตานั่งอยู่ที่เบาะหลัง เธอหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามกดกลั้นความรู้สึกกลัว กังวล และว้าเหว่เอาไว้ เสื้อผ้าที่เธอสวมเป็นชุดเดรสเรียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับแม้สักชิ้น กระเป๋าผ้าใบเก่าถูกวางไว้ข้างตัว ข้างในมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด
นับจากวินาทีนี้ เธอไม่ใช่ “ลลิตาพนักงานบัญชีธรรมดา” อีกต่อไป เธอคือ “แม่ของลูกท่านประธาน” ผู้หญิงที่ถูกซื้อไว้ตามข้อตกลง
ประตูรถเปิดออก แม่บ้านในชุดเรียบหรูรีบเดินมาต้อนรับด้วยท่าทางสุภาพ แต่แววตาเต็มไปด้วยความเกรงใจปนระแวง
“สวัสดีค่ะคุณลลิตา ห้องพักของคุณอยู่ฝั่งตะวันตกค่ะ หากต้องการสิ่งใดสามารถแจ้งพี่เลี้ยงส่วนตัวได้ตลอดเวลา”
ลลิตายิ้มจาง ๆ ก้มหน้าตอบเสียงเบา
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะไม่รบกวนอะไรเกินจำเป็น”
เธอก้าวลงจากรถอย่างระวัง สายตามองสำรวจคฤหาสน์ที่ใหญ่โตเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้ เสาโรมันสูงตระหง่าน พื้นหินอ่อนสะท้อนเงา และโถงทางเดินที่กว้างพอจะจัดงานเลี้ยงได้ทั้งหมู่บ้าน
แต่ทุกอย่าง กลับเย็นชาอย่างประหลาด ไม่มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนคำว่า “บ้าน” เลยแม้แต่น้อย
เธอกำลังก้าวขึ้นบันไดช้า ๆ แต่แล้วเสียงทุ้มต่ำก็พุ่งลงมาจากชั้นบน เสียงที่ทำเอาหัวใจเธอกระตุก
“มาอยู่ที่นี่ ก็อย่าทำตัวเหมือนเธอเป็นเจ้าของบ้านล่ะ”
ลลิตาชะงักฝีเท้าทันที เธอเงยหน้าขึ้น พบคิมหันต์ยืนพิงราวบันได มองลงมาด้วยแววตาเย็นชาจับใจ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้ม กางเกงขายาวเรียบเนี้ยบ สง่างามแต่เหินห่าง
“ค่ะ คุณคิม”
คิมหันต์มองเธอนิ่งๆ ย้ำเสียงเย็นว่า “จงจำเอาไว้ว่า เธอมาอยู่ที่นี่ในฐานะเมียรับจ้างอุ้มบุญเท่านั้น”
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
“…ค่ะ ฉันจะจำไว้”
เขาไม่พูดอะไรต่อ หันหลังกลับอย่างไม่เหลือเยื่อใย เหมือนเพียงแค่ผ่านมาเห็นสิ่งสกปรกที่ต้องเตือนให้มันรู้ที่ต่ำที่สูง
ลลิตาเดินตามแม่บ้านต่อไปอย่างเงียบ ๆ หัวใจที่เคยคิดว่าจะกล้าสู้ เริ่มรู้สึกแห้งผากเหมือนดินแตกระแหง
ห้องพักของเธออยู่ด้านในสุดของปีกตะวันตก ประตูไม้สีเข้มถูกเปิดออกเผยให้เห็นภายในที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เตียงขนาดใหญ่ ผ้าม่านสองชั้น เฟอร์นิเจอร์หลักแสนแทบทุกชิ้น
ทุกอย่างดูดีจนเหมือนฝัน แต่ไม่มีอะไรให้เธอรู้สึกเป็นเจ้าของ ลลิตาวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้นุ่ม แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเตียง มือสั่นเทาเมื่อยกขึ้นลูบผ้าปูที่นอนอย่างกลัวเกินจะเข้าใจ
“…อดทนไว้ลลิตา… เพื่อแม่... เธอต้องทำได้”
เสียงพึมพำเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากที่ซีดเซียว ดวงตาของเธอมองไปที่เพดานสูงด้วยแววตาเหม่อลอย
ณ ที่แห่งนี้ช่างโหดร้าย ไม่มีต้อนรับอย่างเป็นมิตร ไม่มีแม้แต่สายตาแห่งความเมตตา มีเพียงคำสั่งเย็นเยียบ และความจริงที่ว่า เธอคือผู้หญิงที่ถูกซื้อมาเพื่อผลิตทายาทให้ตระกูลสูงศักดิ์ก็เท่านั้น
เธอก้มหน้าลง ซบมือกับเข่าเงียบ ๆ แต่ในความเงียบนั้นเอง กำลังสาบานกับตัวเองว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะไม่ร้องไห้อีก เธอจะไม่ให้ใครได้เห็น ว่าน้ำตาของผู้หญิงคนหนึ่ง มันเคยไหลเพราะถูกดูแคลน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?