ในห้องพักผู้ป่วยรวมของโรงพยาบาลรัฐ ม่านสีฟ้าผืนบางที่ซีดจางไปตามกาลเวลาไหวเบา ๆ รับกับแสงแดดยามเช้าที่สาดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา กระทบลงบนเตียงหมายเลขหกอย่างแผ่วเบา
ร่างของหญิงวัยกลางคนยังคงแน่นิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มสีหม่น มีเพียงเสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะช้า ๆ และสายน้ำเกลือที่ไหลผ่านเข็มแหลมเข้าสู่เส้นเลือดเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
ลลิตานั่งข้างเตียงแม่ เสื้อเชิ้ตตัวเก่าถูกซักจนซีด ผมยาวถูกรวบลวก ๆ แววตาเต็มไปด้วยความหวัง แม้จะริบหรี่จนแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม
เธอเอื้อมมือไปจับมือของแม่ไว้แน่น ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นพร่า
“แม่ต้องหายนะคะ… แม่ต้องอยู่กับหนู…”
น้ำเสียงของเธอเหมือนจะกลืนอะไรบางอย่างลงคอ ก่อนจะพ่นออกมาเป็นเสียงสะอื้นเงียบ ๆ เสียงนั้นบาดลึกจนบีบคั้นหัวใจคนฟัง
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณลลิตา…”
เธอหันขวับไปมอง แพทย์ชายวัยกลางคนยืนอยู่ตรงปลายเตียง สีหน้าของเขาจริงจังจนเธอใจหายวาบ
“ผมจำเป็นต้องพูดตรง ๆ ว่า ตอนนี้อาการของคุณแม่ทรุดลงมาก ไตเริ่มล้มเหลว และหัวใจก็อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด…ตอนนี้เราใส่เครื่องช่วยหายใจให้แล้ว แต่ถ้าคุณยังไม่จ่ายค่ารักษาที่ค้างกับทางโรงพยาบาล ทางเราคงไม่สามารถดูแลแม่ของคุณต่อไปได้…”
ดวงตาของลลิตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นระริก ขณะที่เสียงตอบกลับของเธอสั่นเครือแทบไม่เป็นคำ
“หมอคะ…ได้โปรดเถอะ ช่วยรักษาแม่หนูต่อไปก่อนนะคะ หนูจะหาเงินมาจ่าย…หนูสัญญา!”
เธอแทบจะทรุดลงกับพื้น ทั้งน้ำเสียง ทั้งท่าทางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
แพทย์ถอนหายใจเบา ๆ คล้ายคนที่ไม่อยากทำร้ายใคร แต่ก็ไม่มีทางเลือก
“คุณลลิตา…ค่ารักษาของคุณแม่สะสมมาหลายเดือน ตอนนี้เกินหลักแสนไปแล้วครับ ถ้ายังไม่มีการชำระเงินภายในเดือนนี้ ผมคงต้องขอให้คุณพาแม่กลับไปดูใจที่บ้าน…”
สิ้นคำพูดนั้น ลลิตาเหมือนถูกกระชากลมหายใจออกจากร่าง ใบหน้าเธอซีดเผือดลงไปอีก น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลอาบแก้มทันที
“ไม่…แม่ยังไปไม่ได้…หนูกับแม่มีกันอยู่แค่สองคน…ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว หนูจะอยู่ยังไง…”
เธอหันไปมองร่างของแม่ที่นอนนิ่ง ดวงตาที่เคยอบอุ่นของแม่บัดนี้ปิดสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยความเหนื่อยล้า เส้นเลือดตามแขนขาปูดโปนอย่างน่าสงสาร
ภาพนั้น…แทบฉีกหัวใจของลลิตาออกเป็นเสี่ยง ๆ
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก พยายามฝืนความอ่อนแอไว้สุดกำลัง แล้วหันไปเอ่ยกับหมออีกครั้ง
“ขอเวลาให้หนูอีกแค่เจ็ดวันนะคะ…เจ็ดวันเท่านั้น หนูจะหาเงินมาให้ได้ หนูจะไม่ยอมให้แม่ตายแบบนี้เด็ดขาด”
แววตาของเธอเปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่น แม้จะเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเปี่ยมด้วยพลังที่พร้อมจะต่อสู้ทุกวิถีทาง
หมอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างอ่อนใจ
“ก็ได้ครับ…แต่คุณต้องรีบ เพราะทางเราก็ผ่อนปรนให้คุณมากแล้วจริง ๆ”
เมื่อหมอเดินจากไป ลลิตาก็ทรุดลงนั่งข้างเตียงอีกครั้ง มือยังคงกอบกุมมือแม่แน่น
เธอก้มหน้าลง ซุกใบหน้าเปื้อนน้ำตากับหลังมือแม่ แล้วพึมพำเสียงแผ่ว…
“แม่อดทนหน่อยนะคะ หนูจะไม่ยอมให้แม่ตาย…ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร หนูก็จะทำ…”
…………………………………………..…….
เสียงคลิกเมาส์และแป้นพิมพ์ยังคงดังแผ่ว ๆ สลับกันไปมา ภายในห้องบัญชีของบริษัทเอกชนขนาดกลางในกรุงเทพฯ
ที่โต๊ะทำงานมุมหนึ่ง ลลิตานั่งก้มหน้าก้มตากับเอกสารกองโต เธอพยายามทำงานอย่างเงียบที่สุด ราวกับจะหลบซ่อนความทุกข์ที่สุมอยู่ในใจเอาไว้ไม่ให้ใครรับรู้
ผมยาวถูกรวบไว้ลวก ๆ ใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตากลับยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น…แม้ภายใต้ความสิ้นหวัง
“ยัยลิตา…วันนี้เธอไม่คิดจะพักบ้างเลยเหรอ ยัยบ้างาน~” เสียงเพื่อนร่วมงานสาวเอ่ยแซวขึ้นพร้อมหัวเราะเบา ๆ
ลลิตายิ้มนิด ๆ แต่แววตากลับเศร้าจนคนมองรู้สึกสะเทือนใจ
“ยังพักไม่ได้หรอก…เราต้องรีบหาเงินให้พอค่ารักษาแม่ก่อนน่ะ…”
เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวเหมือนลมหายใจ ราวกับว่าแค่พูดถึงคำว่า ‘แม่’ น้ำตาก็พร้อมจะเอ่อขึ้นอีกครั้ง
เพื่อนสาวที่นั่งข้างกันขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ ก่อนจะวางมือลงบนต้นแขนของลลิตาเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“ลิตา…ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันได้นะ อย่าฝืนคนเดียวแบบนี้เลย ฉันเป็นห่วงเธอนะ”
หญิงสาวส่ายหน้าน้อย ๆ ยิ้มบางอย่างรู้สึกผิด
“ขอบใจนะ แต่ฉันไม่อยากรบกวนใคร…แค่ถ้าเธอพอจะรู้จักงานเสริมที่ได้เงินเยอะ ๆ หรือจ่ายล่วงหน้าได้บ้าง แนะนำฉันทีนะ ฉันต้องใช้เงินจำนวนมาก…ภายในอาทิตย์นี้”
คำพูดของเธอเรียบง่าย แต่กลับเจือด้วยแรงกดดันมหาศาล คนฟังได้แต่มองเธออย่างเป็นห่วง ก่อนจะเม้มปากเล็กน้อยเหมือนลังเล
“ลิตา…งานที่ได้เงินเร็ว มันก็ต้องเสี่ยงนะ บางอย่างก็ไม่ใช่ของสวยงามอย่างที่เห็นในโฆษณาหรอก”
“ฉันรู้…แต่ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว ต่อให้ต้องยอมเสี่ยงแค่ไหน ฉันก็ต้องทำ”
น้ำเสียงของเธอจริงจังปนเศร้าลึกๆ จนเพื่อนร่วมงานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าจอหนึ่งแล้วยื่นส่งให้ลลิตาดูเงียบ ๆ
“งั้น…ดูนี่ก็แล้วกัน”
ลลิตารับมาอย่างระวัง ดวงตาสั่นระริกเล็กน้อย เมื่ออ่านข้อความบนหน้าจอ
‘รับสมัครแม่อุ้มบุญ ค่าตอบแทนสูงสุดถึง 10 ล้านบาท’
เพียงประโยคแรก ใจของลลิตาก็เต้นโครมครามขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“อุ้มบุญ…?”
เสียงนั้นเบาแผ่วราวกับลมพัดผ่าน แต่แววตาของหญิงสาวกลับตื่นตะลึงอย่างรุนแรง เธอรู้ดีว่ามันคืออะไร
สิบล้าน…กับชีวิตของแม่ที่อาจจะอยู่ต่อได้อีกหลายปี เธอคิดว่ามันคุ้ม แม้ต้องเสี่ยง
“บริษัทนี้…น่าเชื่อถือไหม”
ลลิตาเอ่ยถามเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเลระคนกลัว
เพื่อนสาวลดเสียงลงแทบกระซิบ
“ไม่แน่ใจนัก…บางคนบอกว่าเถื่อน แต่เงินถึง…และเร็วมาก ถ้าลูกค้าถูกใจ”
“เพื่อหาเงินมารักษาแม่ ยังไงฉันก็อยากลองดู”
ลลิตาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสั่นไหวเหมือนคลื่นในใจที่ปั่นป่วน เธอวางโทรศัพท์ลงช้า ๆ มือกำแน่นจนข้อขาว แต่สายตายังไม่อาจละจากคำว่า ‘สิบล้าน’ ได้เลย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?