เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่น
ซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงาน
ทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
หลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้า
เล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคนสวย ไม่อย่างนั้นจะต้องไปอยู่กับยายหวังคนเลี้ยงเด็กของตึกนี้ เขาไม่ชอบเพราะเด็กคนอื่นชอบล้อว่าเขาเป็นเด็กไม่มีพ่อ การได้อยู่กับพี่สาวคนสวยดีกว่าเป็นไหนๆ
เหตุการณ์เป็นแบบนี้จนเข้ามาถึงวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด ซุยหลันซีตื่นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิงเหมือนกับทุกวัน แต่ที่ต่างออกไปคือวันนี้เธอกลับไม่สามารถขยับตัวเพื่อลุกออกไปอย่างเงียบๆ เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา แค่เพียงขยับตัวออกไปก็ถูกอ้อมแขนแข็งแกร่งของชายหนุ่มกอดเอาไว้แน่น
ซุยหลันซีเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าสายตาของเขามองมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว มุมปากของเขาผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่กลับดูมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ
“พี่เว่ยหมิง ปล่อยค่ะ ฉันต้องลุกไปทำอาหารแล้ว”
ซุยหลันซีขยับตัวดิ้นหนีออกมาจากอ้อมแขนของเขา ชายหนุ่มรีบพูดด้วยเสียงแหบพร่า เพราะร่างในอ้อมแขนกำลังปลุกบางสิ่งบางอย่างให้ตื่นตัว
“หยุดดิ้นก่อน”
ซุยหลันซีหยุดดิ้นทันทีโดยไม่ต้องให้เติ้งเว่ยหมิงบอกเป็นครั้งที่สอง หญิงสาวนอนนิ่งไม่ขยับ เธอไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดนั้น แม้จะไม่เคยมีประสบการตรงด้วยตนเองมาก่อน แต่สมัยเรียนพวกเพื่อนหญิงก็มักจับกลุ่มพูดคุยเรื่องพวกนี้อย่างถึงพริกถึงขิง จนกระทั่งมาทำงานก็ยังต้องพึ่งพาสารคดีผู้ใหญ่มาเติมเต็มงานเขียนกับงานวาดของตัวเอง
“หลันหลัน เราลองมาคบกันดูดีไหม พวกเราอาจจะเริ่มต้นได้ไม่ดี แต่ว่าตอนนี้พวกเราก็แต่งงานกันแล้ว มาลืมเรื่องในอดีตกันไปให้หมด แล้วเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ดีไหม?”
เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นมั่นคง ไม่ได้บ่งบอกว่าเขากำลังล้อเล่น
ได้ยินคำพูดของเติ้งเว่ยหมิงซุยหลันซีก็อึ้งงันไปชั่วครู่ ความจริงแล้วเธอไม่ได้เกลียดเขาแม้แต่น้อย กลับแอบชอบเขาเสียอีก
นับตั้งแต่อาศัยอยู่ร่วมกันมา นับว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง แม้จะไม่ค่อยชอบเธอ แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีหรือพูดจาไม่ดีกับเธอเลยสักครั้ง การกระทำของเขาบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง
ที่สำคัญตอนนี้เขาเอ่ยปากแบบนี้ เรื่องอะไรจะปฏิเสธล่ะ หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างยั่วยวนใจขนาดนี้ ถ้าเธอยังปฏิเสธอีกก็โง่เต็มทีแล้ว
อีกอย่างยังไงก็กลับไปยังยุคสมัยที่จากมาไม่ได้แล้ว จะใช้ชีวิตคนเดียวในยุคนี้ดูแล้วจะยากลำบากยิ่งกว่า ไม่สู้รับปากเขาแล้วช่วยกันทำมาหากิน... แล้วยังจะได้กินเขาอีกด้วย
“พี่เว่ยหมิง พี่แน่ใจใช่ไหม? พี่ชอบฉันเหรอคะ?”
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเห็นด้วยกับที่ผมพูด แต่ว่าผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้ เป็นคนที่ห่วงใยคนอื่น เป็นคนที่พูดเพราะ เป็นคนที่มีน้ำใจ เป็นคนที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับผม แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับผม?”
เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยตอบ เขาก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่ว่า หลังจากวันนั้นที่เขาเผลอล่วงเกินเธอ ภายในใจก็ไม่สงบ กระวนกระวายมาตลอด ที่ทำหน้านิ่งๆ ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรนั้น เขารู้ว่าตัวเองต้องแข็งใจมากแค่ไหน
ยิ่งพยายามไม่คิดแต่ในใจกลับนึกถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายเธอที่แนบชิดอยู่ทุกคืน ไม่ต้องให้บอกว่าเขาทรมานมากแค่ไหน
แม้ก่อนหน้านี้จะเต็มไปด้วยความสงสัยในพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของเธอ แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงของเธอกลับค่อยๆ ละลายความสงสัยในใจของเขาลง
รอยยิ้มยามเช้าของเธอตลอดหนึ่งเดือนมานี้ทำให้เขาหวั่นไหว จนกระทั่งอดใจไม่ไหวเผลอใจจูบเธอในวันนั้น
“พี่เว่ยหมิง เมื่อก่อนฉันคงเป็นผู้หญิงที่แย่มากเลยใช่ไหมคะ?”
“อย่าไปพูดถึงเรื่องในอดีตเลย พูดถึงเรื่องของเราตอนนี้ดีกว่า ผมอยากรู้คำตอบว่าคุณคิดยังไงกับผม?” เติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบคำถามแต่กลับย้ำคำถามเดิม พร้อมกับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
“ฉันก็ไม่ได้รังเกียจพี่ค่ะ...” ซุยหลันซีตอบเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
“อย่างนั้นหมายความว่าเรายกเลิกข้อตกลงเดิม เปลี่ยนจากสามีภรรยาในนามมาเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ใช่ไหม?”
เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย ซุยหลันซีพอได้ยินว่าเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เธอก็คิดไปไกลไหนต่อไหนแล้ว ความคิดลามกนั้นทำให้หญิงสาวก้มหน้างุดซบกับอกของเขาอย่างเขินอาย
“ถ้าไม่ตอบผมจะถือว่าคุณตกลงแล้วนะ”
เติ้งเว่ยหมิงเชยใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอให้เงยสบตากับตนเอง
เหมือนกับคำโบราณกล่าวไว้ หน้าต่างเป็นดวงตาของหัวใจ ทั้งคู่มองสบตากัน ความหมายมากมายสื่ออยู่ในนั้น
เติ้งเว่ยหมิงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ตอบคำถาม จึงถือเอาว่าซุยหลันซีตอบตกลงแล้ว ชายหนุ่มก้มใบหน้าลงไปประกบจูบอย่างอ่อนหวาน
บรรยากาศตอนเช้าของวันอาทิตย์ วันพักผ่อนของหลายครอบครัวที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์ ทำให้พวกเขาต่างก็อยากจะนอนขี้เกียจอยู่บนที่นอน วันนี้ตื่นสายหน่อยคงไม่เป็นไร
ในห้วงเวลาแห่งความอบอุ่นยามเช้า เติ้งเว่ยหมิงและซุยหลันซีได้เริ่มต้นบทใหม่แห่งชีวิตคู่ด้วยความรักที่บริสุทธิ์และจริงใจ สองหัวใจที่ราวกับแม่เหล็กขั้วเดียวกันมาตลอด บัดนี้ได้กลายเป็นแม่เหล็กคนละขั้วดึงดูดกันและกัน ผ่านการสัมผัสที่แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหมาย
ม่านแห่งรุ่งอรุณค่อยๆ เลื่อนขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เป็นพยานแห่งความรักที่กำลังเบ่งบาน เสียงกระซิบรักและลมหายใจที่สอดประสานกันเป็นทำนองแห่งความสุข ความเขินอายค่อยๆ ละลายไปกับไออุ่นของร่างกายที่แนบชิด
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า ทั้งคู่ดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งการค้นพบตัวตนของกันและกัน ผ่านสัมผัสที่อ่อนโยนและคำพูดที่เต็มไปด้วยความรัก ความรู้สึกผิดและความขมขื่นในอดีตได้ถูกชะล้างออกไป เหลือไว้เพียงความหวานชื่นและความหวังในอนาคตที่จะร่วมเดินไปด้วยกัน
เมื่อทุกอย่างจบลง ทั้งคู่นอนกอดกันอย่างมีความสุข ไม่มีคำพูดใดที่จำเป็นอีกต่อไป เพราะดวงตาที่สบประสานกันนั้นได้บอกเล่าทุกสิ่งที่อยู่ในใจแล้ว
ซุยหลันซีและเติ้งเว่ยหมิงรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันแสนยาวไกล แต่พวกเขาพร้อมที่จะก้าวไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเจออุปสรรคใดๆ ในวันข้างหน้า
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?