ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคน
ซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้ง
เธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา
“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา
“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”
เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงาน
หรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?
เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น
“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“พบเถ้าแก่ของผม เรื่องธุรกิจ?”
“เอาไว้กลับบ้านแล้วฉันจะเล่าให้ฟังนะคะ รับรองว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำก็เพื่ออนาคตของเราสองคนแน่นอน ว่าแต่พี่พาฉันไปพบเถ้าแก่ของพี่ได้ไหม? ถ้าเป็นวันนี้เลยจะยิ่งดีที่สุด”
เติ้งเว่ยหมิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงดังออกมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็เห็นเป็นชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดพนักงานใบหน้าบึ้งตึง เดินตรงมายังสองสามีภรรยา
“เว่ยหมิง เวลาทำงานมามัวโอเอ้อะไรอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปทำงานอีก” จางชุน เป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างอ้วนเตี้ย ผมบาง
เพราะอาศัยว่าเป็นญาติห่างๆ กับเจ้าของโรงงานจึงได้ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน แล้วยังบ้าอำนาจ ใช้ความเป็นผู้จัดการโรงงานกดข่มพนักงาน
นอกจากนี้ จางชุนคนนี้ก็เจ้าชู้มาก พนักงานหญิงหลายคนมักถูกเขาหาเรื่องลวนลาม โดยไม่มีใครกล้าฟ้องเถ้าแก่โรงงานสักคน เพราะจางชุนขู่ว่าจะไล่ออก
งานที่มีสวัสดิการดี เงินเดือนดีแบบนี้ ใครๆ ก็ไม่อยากมีปัญหาเพราะนั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องสูญเสียแหล่งรายได้ที่จะมาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัว ดังนั้นที่พวกเขาทำได้คือหาทางหลีกเลี่ยง พยายามอดทนไม่สร้างปัญหา ใครเก่งและมีสติก็เอาตัวรอดไปได้
“สวัสดีคุณคนสวย มาติดต่อเรื่องอะไรครับ” จางชุนหลังจากตวาดไล่เติ้งเว่ยหมิงแล้ว ก็กระแอมเล็กน้อยหันมาเอ่ยกับซุยหลันซีด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่กลับแฝงไปด้วยความกะลิ้มกะเหลี่ย
“อ้อ ฉันมาขอพบเถ้าแก่ค่ะ ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับความร่วมมือทางธุรกิจมานำเสนอ” ซุยหลันซีหันไปมองสามีแวบหนึ่งแล้วหันไปตอบจางชุนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะไม่พอใจที่เห็นเติ้งเว่ยหมิงถูกปฏิบัติอย่างนั้น
“มาหาเถ้าแก่เหรอ มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า คุณคนสวยแจ้งผมได้นะ ผมเป็นผู้จัดการโรงงานนี้”
จางชุนกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ก็เต็มไปด้วยความโอ้อวด เขายืดอกที่มีแต่ไขมันขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับส่งยิ้มคิดว่ามีเสน่ห์ให้กับซุยหลันซี ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับขณะกวาดมองหญิงสาวตรงหน้า
ท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนถึงความภูมิใจในตำแหน่งผู้จัดการเป็นอย่างมาก แสดงความสนใจในตัวซุยหลันซีอย่างเปิดเผย สองมือของเขาประสานกันโน้มตัวเข้าหาเธอเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่าเขาพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ซุยหลันซีผงะร่างถอยหลังออกมาแทบไม่ทัน ในใจอยากจะตวาดชายตรงหน้า แต่คิดว่าเพราะมีงานสำคัญกำลังรออยู่ จึงได้อดกลั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผู้จัดการคะ ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องคุยกับเถ้าแก่เจ้าของโรงงานโดยตรงเท่านั้น ฉันเกรงว่าผู้จัดการคงไม่น่าจะตัดสินใจแทนเถ้าแก่ได้ เห็นว่าผู้จัดการมีจิตใจดี อยากช่วยเหลือฉัน อย่างไรรบกวนพาฉันไปพบเถ้าแก่ได้หรือเปล่าคะ?”
“ถ้าคนสวยขอร้องแบบนี้ผมก็คงได้แต่ต้องช่วยเหลือแล้ว เชิญทางนี้ครับ ส่วนนายก็กลับไปทำงานได้แล้ว”
ได้ยินเสียงหวานๆ เจรจาจางชุนก็คิดไปเองว่าซุยหลันซีคงชอบที่ตนมีตำแหน่งใหญ่โต ไม่แน่ว่าหลังจากที่คุยกับเถ้าแก่แล้ว เขาอาจจะนัดหญิงสาวไปกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ประโยคต่อมาของซุยหลันซี กลับดับฝันกลางอากาศของเขาเข้าอย่างจัง
“ผู้จัดการคะ พอดีเรื่องที่ฉันจะคุยกับเถ้าแก่จำเป็นต้องให้สามีของฉันเข้าพบด้วยค่ะ”
ได้ยินคำว่าสามี ใบหน้าและน้ำเสียงของจางชุนก็เข้มงวดขึ้นทันที
“ทำไม? ผมเป็นผู้จัดการส่วนเขาเป็นแค่พนักงานธรรมดา มีความสำคัญอะไรที่ต้องพาเขาไปพบเถ้าแก่ด้วย?”
“สำคัญค่ะ เพราะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผ้าที่เขาต้องรับผิดชอบ”
คำตอบของซุยหลันซีทำให้จางชุนถึงกับแสยะยิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงว่าเติ้งเว่ยหมิงต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนมาก รอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งยกสูง
สาเหตุที่จางชุนไม่ชอบเติ้งเว่ยหมิง ก็เป็นเพราะเขากลัวว่าชายหนุ่มจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของโรงงาน เนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงทำงานเก่ง มีความรับผิดชอบสูง ขยันและไม่เคยทำตัวมีปัญหา ส่วนตัวเองนั้นเอาแต่ทำงานเหลาะแหละ วันๆ มีแต่จะเกี้ยวพาราสีเหล่าพนักงานสาวๆ ในโรงงาน
อีกอย่างเติ้งเว่ยหมิงเป็นชายหนุ่มหน้าตาถือว่าดีมาก ยิ่งเขาเคยเป็นทหาร มีการศึกษา ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้หญิงในโรงงานหลายคน
แม้จะมีคนแสดงความสนใจในตัวเขาอยู่หลายคน แต่ด้วยเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรือสุงสิงกับใคร ไม่เคยไปกินเหล้าหลังเลิกงาน ไม่เคยแสดงออกว่ามีความสนใจผู้หญิง ทำตัวเหมือนนักพรต ก็เลยทำให้จางชุนรู้สึกวางใจ
ความจริงแล้วเติ้งเว่ยหมิงไม่เคยมาทำอะไรให้เขาไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นหญิงสาวหลายคนแสดงความสนใจในตัวเติ้งเว่ยหมิง กลายเป็นว่าเมื่อเห็นเติ้งเว่ยหมิงก็รู้สึกขัดหูขัดตาขึ้นมาทันที
แต่ที่คาดไม่ถึงลูกน้องคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าจะมีภรรยางดงามถึงเพียงนี้
“หึ เชิญ” จางชุนเมื่อได้ยินคำตอบก็หน้าเปลี่ยนสีด้วยความโมโห พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
“พี่เว่ยหมิง อย่าบอกนะว่าคนนี้ที่ทำให้พี่ต้องเจอความยุ่งยากและต้องรับผิดชอบผ้าที่ผลิตผิดพลาดน่ะ?” ซุยหลันซีเอนตัวไปทางเติ้งเว่ยหมิงเล็กน้อยก่อนป้องปากกระซิบถาม
เติ้งเว่ยหมิงจึงได้พยักหน้าตอบ “ไม่ต้องไปสนใจหรอก พวกเราไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มพาภรรยาเดินตรงไปยังห้องทำงานของเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน เคาะประตูสองครั้งก็ได้ยินเสียงลอดมาจากด้านใน “เข้ามา”
เติ้งเว่ยหมิงเปิดประตูเบี่ยงตัวให้ซุยหลันซีเดินเข้าไปก่อนแล้วปิดประตู เถ้าแก่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่
ห้องทำงานของเถ้าแก่กว้างขวางสมกับเป็นห้องของเจ้าของโรงงาน ตรงฝาผนังด้านหลังเขามีภาพเสือโคร่งขนาดใหญ่ประดับอยู่ บนโต๊ะทำงานมีปี่เซียะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ วางประดับอยู่ที่มุมโต๊ะด้านหน้าด้านทั้งสองข้าง
“ว่ายังไงอาหมิง นี่พาใครมาเหรอ?”
อี้ชุน เจ้าของโรงงานสิ่งทอจินเซิง เป็นชายอายุประมาณห้าสิบปี เขามีรูปร่างสมส่วน ผมเริ่มบางมีสีดอกเลาแซมอยู่โดยรอบ สวมแว่นตาทรงเหลี่ยม
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?