ดวงตะวันในตอนเช้าสาดส่องลงมาผ่านหน้าต่าง ส่องโดนหน้าของผู้ที่กำลังหลับใหลอยู่เหมือนปลุกให้ตื่นจากห้วงนิทรา ฉีเหมยลี่ลืมตามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเช้าวันใหม่แล้วนางจึงรีบรุดออกจากเตียง
“ซูเม่ย ๆ เจ้าอยู่ไหน” นางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง มองหาบ่าวรับใช้คนสนิทในทันที
“ คุณหนูข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” ซูเม่ยเดินตรงเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายเรียก
“ซูเม่ย เจ้ามานี่หน่อย” นางเรียกซูเม่ยเดินนำนางไปยังโต๊ะหนังสือซึ่งมีกระดาษใบปลิวที่พวกเขาช่วยกันทำเมื่อคืนวางอยู่
ฉีเหมยลี่หยิบห่อกระดาษออกมาแล้วนำใบปลิวทั้งหมดใส่ลงไปก่อนจะปิดห่อกระดาษนั้นจนดูเรียบร้อย
“แผ่นกระดาษทั้งหมดนี้ เจ้าจงนำไปส่งให้กับท่านพ่อของข้า” นางยื่นห่อกระดาษส่งให้ซูเม่ย สีหน้าดูมีความสุขที่ร้านล่ามของนางใกล้จะได้เปิดเร็ว ๆ นี้แล้ว
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู” ซูเม่ยรับห่อกระดาษออกมาถือไว้แน่นและแอบออกไปทางด้านหลังจวนอีกครั้ง เพื่อนำใบปลิวที่ฉีเหมยลี่ตั้งใจทำไปส่งให้กับคหบดีฉีเย่เทียนที่จวน
ฉีเหมยลี่นั่งรอฟังข่าวจากซูเม่ยด้วยใจจดจ่อ ในใจนึกคิดอยากที่จะลองร่างสัญญาสองภาษาขึ้นมาดูบ้าง แต่ด้วยเวลาสายมากแล้วอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้อากาศภายในห้องเริ่มอบอ้าว นางจึงหยิบกระดาษหมึกและพู่กันออกไปนั่งฝึกร่างสัญญาใต้ต้นไห่ถังใหญ่ ซึ่งอยู่ที่ชานหน้าจวนแทน
สายลมอ่อนๆ พัดผ่านกิ่งก้านของต้นไห่ถัง ใบสีเขียวอ่อนสั่นไหวเบาๆ ฉีเหมยลี่นั่งสงบนิ่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มือขาวบางถือพู่กันจุ่มหมึก ค่อยๆ ลากเส้นบนแผ่นกระดาษด้วยความตั้งใจ ดวงตากลมโตจับจ้องที่ตัวอักษรที่กำลังร่าง ขณะที่สมองครุ่นคิดถึงถ้อยคำที่จะใช้ในสัญญาฉบับนี้
เซิ่นหยางนั่งจิบชาอยู่ที่สวนดอกไม้ ภายในใจยังคิดวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ในใจของเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าฉีเหมยลี่ในตอนนี้เหตุไรจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เดิมนางเป็นคนอ่อนหวาน ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา กิริยาเรียบร้อยจนดูจืดชืดไปเสียหมด แต่เมื่อวานนางกลับเป็นคนที่ดูมั่นใจ กล้าที่จะสบตากับเขา กล้ามองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว ยิ่งทำให้เขาในตอนนี้รู้สึกสับสนว่านางเป็นอะไรกันแน่
“นายท่าน ท่านแม่ทัพเซิ่นหวังเหล่ยมาแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้ในจวนเดินเข้ามารายงานแก่เขา
“ทำไมมาเร็วนัก ทั้งที่บอกข้าว่ายามเว่ยถึงจะมาถึง แต่ช่างเถอะ พาเขามาหาข้าที่นี่ก็แล้วกัน” เซิ่นหยางสั่งการบ่าวของตนให้ไปเชิญเซิ่นหวังเหล่ยซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาของเขามาที่สวนดอกไม้แทน ระหว่างทางเดินมาสวนดอกไม้ แขกอย่างเซิ่นหวังเล่ยใช้สายตาสังเกตบริเวณโดยรอบอยู่ตลอดเวลา
“ท่านเจ้าบ้านเซิ่น ข้าต้องขออภัยที่มาก่อนเวลานัด ทำให้ต้องรบกวนท่านแล้ว” เซิ่นหวังเหล่ยแสดงความเคารพต่อเจ้าบ้านในฐานะเป็นแขกผู้มาเยือน ถึงแม้ว่าเขาจะมีอีกหนึ่งสถานะคือน้องชายต่างมารดาก็ตาม ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายสมกับเป็นแม่ทัพฝ่ายบูรพาเขาเผยรอยยิ้มที่เป็นมิตรให้กับเซิ่นหยาง
“ช่างเถอะ ๆ ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่มีธุระอันใดสำคัญอยู่แล้ว ท่านแม่ทัพเซิ่น เชิญนั่งลงเถอะ” เซิ่นหยางเชื้อเชิญให้เซิ่นหวังเหล่ยนั่งลงที่ม้านั่งตรงข้ามกับตนอีกฝ่ายทรุดนั่งตามคำเชื้อเชิญ
“ท่านเจ้าบ้านเซิ่นเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงนี้สบายดีหรือไม่” เขาเอ่ยถามเซิ่นหยางที่กำลังยกกาน้ำชารินชาสมุนไพรใส่ในถ้วยของตนราวกับใคร่รู้สารทุกข์สุขดิบ หากทว่าสายตาของแขกอย่างเซิ่นหวังเหล่ยนั้นกลับมองสำรวจไปรอบๆเหมือนว่ากำลังหาใครบางคนอยู่
“ข้าสบายดี ขอบคุณท่านแม่ทัพเซิ่นที่ยังห่วงใย” เซิ่นหยางหยิบถ้วยชาอีกใบออกมาตั้ง รินน้ำชาชั้นเลิศใส่และส่งมันให้กับเซิ่นหวังเหล่ย
“ขอบคุณ” เขารับน้ำชาจากเซิ่นหยางยกขึ้นดื่มพอเป็นพิธี
“ข้าได้ข่าวมาว่าท่านเจ้าบ้านเซิ่นได้แต่งงานถึงสองครั้ง ท่านเองไม่คิดจะแนะนำฮูหยินของท่านให้ข้ารู้จักสักหน่อยหรือ” เซิ่นหวังเหล่ยกล่าวพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ขณะจ้องมองเซิ่นหยางด้วยแววตาที่แฝงความกวนประสาทอยู่เล็กน้อย
ทั้งสองสนทนากันได้ไม่นาน ฟางลี่หมิงยังโกรธที่ถูกภรรยาเอกอย่างฉีเหมยลี่ว่านางเมื่อวานก่อนจึงตั้งใจจะไปก่อกวนนางอีกครั้ง แต่ระหว่างที่เดินผ่านสวนดอกไม้ นางพบเห็นผู้เป็นสามีกำลังนั่งสนทนาอยู่กับคนผู้หนึ่งอยู่ คราแรกก็ไม่อยากจะใส่ใจนัก
ทว่าคนผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ทำให้ความตั้งใจที่นางจะไปหาเรื่องฉีเหมยลี่หายไปชั่วขณะ เปลี่ยนทางเดินที่จะไปห้องของฉีเหมยลี่ไปอีกทางหนึ่งแทน ฟางลี่หมิงก้าวเท้าเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ที่บุรุษทั้งสองกำลังนั่งสนทนากันอยู่
“ท่านพี่” เซิ่นหยางได้ยินเสียงของสตรีที่คุ้นเคยจึงหันไปมองทางต้นเสียง เห็นฮูหยินคนโปรดของเขากำลังเดินมาหา เขาจึงลุกขึ้นยืนรอรับนาง
“อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าจะไปที่ใดกันหรือ ฮูหยินข้า”
“ข้าตั้งใจมาเก็บดอกไม้ในสวนไปจัดใส่แจกันไว้ในห้องของท่าน เวลาท่านพักผ่อนจะได้รู้สึกสดชื่น ไม่คิดว่าท่านพี่จะมีแขกมาเยือนในเวลานี้”
ฟางลี่หมิงมองเซิ่นหวังเหล่ยด้วยแววตาที่เป็นประกายแวววาว ส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้กับเขา เพียงแค่พบกันครั้งแรกนางก็รู้สึกชอบใจใบหน้าที่หล่อเหลาของเซิ่นหวังเหล่ยเสียแล้ว
“อ่อ ข้าลืมแนะนำไป นี่แม่ทัพเซิ่น เจ้ารู้จักกันไว้ก็ดี” เซิ่นหยางแนะนำเซิ่นหวังเหล่ยให้กับนางได้รู้จัก
“เซิ่นหวังเหล่ยคารวะฮูหยินเอก” ได้ยินเซิ่นหวังเหล่ยเรียกนางแบบนั้นจึงทำให้ใบหน้าที่ส่งยิ้มให้เขาค่อย ๆ หุบยิ้มลงในทันทีด้วยความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะพวกบ่าวที่อยู่แถวนั้นต่างก็รู้ว่านางเป็นเพียงแค่ฮูหยินรอง หากตามน้ำไปพวกบ่าวก็จะเอานางไปนินทากันสนุกปาก ฟางลี่หมิงจึงส่งสายเตาป็นนัยบอกให้สามีแนะนำตนเองให้เซิ่นหวังเหล่ยได้รู้จัก
“แม่ทัพเซิ่น นางผู้นี้คือฟางลี่หมิงเป็นฮูหยินรองของข้า” เขาโอบกอดนางเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของทันที
“ข้าขออภัยฮูหยินรองด้วย ข้าไม่ทราบชื่อและยังไม่เคยพบหน้าของฮูหยินทั้งสองของท่านเจ้าบ้านเซิ่นมาก่อน จึงเกิดการเข้าใจผิด ขอฮูหยินรองโปรดอย่าถือสา” ฟางลี่หมิงพยักหน้าตอบรับก่อนจะคล้องแขนผู้เป็นสามีของตนเอาไว้
“เจ้าบ้านเซิ่น วันนี้ข้าได้รู้จักกับฮูหยินรองของท่านแล้ว แต่ยังไม่ได้พบกับฮูหยินเอกของท่านเลย หากไม่น่ารังเกียจจนเกินไป พาข้าไปรู้จักนางได้หรือไม่เพราะข้าเองคงจะหาโอกาสมาเยือนอีกครั้งได้ยาก”
“ฮูหยินเอกตอนนี้สุขภาพไม่ค่อยดีนัก จึงไม่ค่อยออกจากห้องมาพบใคร” เซิ่นหยางบอกแก่เขาพลางกุมมือของฟางลี่หมิงเอาไว้ ทำให้เซิ่นหวังเหล่ยรู้สึกสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสามคน
“ถ้าเช่นนั้น ไหน ๆ วันนี้ข้ามาถึงจวนของเจ้าบ้านเซิ่นแล้ว ให้ข้าได้เยี่ยมนางสักหน่อยได้หรือไม่ ท่านแต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกแล้ว ดังนั้นนางจึงเป็นคนในครอบครัวของสกุลเซิ่นเท่ากับว่านางก็เป็นญาติของข้าเช่นกัน”
เซิ่นหวังเหล่ยเอ่ยปากขอพบฉีเหมยลี่ ทว่าในใจของเจ้าบ้านอย่างเซิ่นหยางตอนนี้กลับไม่อยากให้เซิ่นหวังเหล่ยได้พบนาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเช่นกัน ดังนั้น ในเมื่อเขาไม่อาจปฏิเสธได้จึงพาแขกอย่างเซิ่นหวังเหล่ยไปที่ห้องของฉีเหม่ยลี่ โดยมีฟางลี่หมิงเดินติดสอยห้อยตามไปด้วย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?