ตอนที่ 9 นางคือผู้ใด?

“ช่วยบอกข้าทีซูเม่ย ว่าวันนี้นางจะมีลูกเล่นอะไรมาหาความข้าอีก” คนที่บ่นอยู่นั่งเอามือทั้งคู่เท้าคางอยู่ที่บานหน้าต่าง ซูเม่ยก้าวเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะรินชาดอกกุ้ยฮวาใส่จอกด้วยความคล่องแคล่ว

“โธ่! หยุดรินน้ำชานั่นเสียทีเถอะซูเม่ย”

นางมองค้อนสาวใช้ จนซูเม่ยต้องยกชุดน้ำชาออกไปตั้งที่อื่น

นางกำลังอยากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง

ตั้งแต่ฟางลี่หมิงเข้ามาป่วนในเรือนตะวันออกถึงสองครั้งสองครา เจ้าของเรือนอย่างฉีเหมยลี่ก็รู้สึกอิดหนาระอาใจ นางเบื่อที่จะตั้งรับกับความเอาแต่ใจและหยิ่งผยองของฮูหยินข้างกายสามี นางผู้นั้นช่างเป็นคนที่น่ารำคาญยิ่ง

ฉีเหมยลี่มองดูรอบ ๆ เรือนบูรพาทิศแห่งนี้ ช่างสวยงามและเต็มไปด้วยดอกเหมยกุ้ยฮวาสีสวยสด แต่นางชมชอบพันธุ์ที่ออกช่อดอกเป็นเครือมากกว่า เพราะมันเป็นกึ่งไม้เถาที่สามารถเลื้อยไปพันเกี่ยวเกาะต้นอื่นได้โดยไม่ขัดเขิน ไม่เหมือนนางที่ยังหาสิ่งพึงใจมิได้ แต่แล้วจู่ ๆ ซู่เม่ยก็คิดได้ ว่าจะทำอย่างไรให้นายสาวของนางสดชื่นมีชีวิตชีวา

“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ข่าวจากบ่าวรับใช้ด้านในว่าวันนี้จะมีสำเภาใหม่มาเทียบท่า สำเภาลำนี้เพิ่งเคลื่อนผ่านมายังที่นี่ มาจากดินแดนไกลโพ้นทะเลเลยนะเจ้าคะ”

ซูเม่ยสาวใช้ที่แสนภักดีเอ่ยปากชวนนางไปเที่ยวเล่น ซึ่งนับเป็นเรื่องดี เพราะฉีเหม่ยลี่นางก็เริ่มเบื่อหน่ายกับสถานที่นี้เต็มทน

“เช่นนั้นเราไปกันเถอะ ข้าเองก็เบื่อนักที่ต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในเรือนเช่นนี้” นางตั้งท่าจะถลาออกไปในทันที แต่ซูเม่ยก็ดึงรั้งนางเอาไว้

“อะไรกันอีกเล่า เดี๋ยวไม่ทันสำเภาใหญ่มาจอดหรอก” นางพูดพร้อมทำตาโตใส่

“คุณหนูเจ้าคะ ด้านนอกมิได้อากาศเย็นสบายดั่งเช่นในเรือนหรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้บอกอีกว่าต้องใส่ผ้าเพิ่มขึ้นเพื่อปกปิดผิวกายพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ฉีเหมยลี่

“คุณหนูต้องผัดแป้งให้ใบหน้าเนียนกว่านี้นะเจ้าคะ มาเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าแปลงโฉมคุณหนูให้เอง”

จู่ ๆ ก็ได้เลขาส่วนตัวเสียอย่างนั้น ฉีเหมยลี่เองนางก็นึกสนุกด้วยเช่นกัน จึงยอมนั่งเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบให้สาวใช้ระบายความงามเล่นบนใบหน้า

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู ช่างสวยงามหาที่ติมิได้” นางเอาคันฉ่องรูปวงรีขลิบริ้วทอง ส่องใบหน้านวลเนียนนั้น ฉีเหมยลี่ได้เห็นฝีมือการเติมแต่งความงามบนผิวเนื้อของสาวใช้คนนี้แล้วเป็นต้องร้องอุทานเสียงดัง!

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ล่ะซูเม่ย คิ้วของข้าก็เขียนไม่เท่ากัน แล้วแก้มนั่นทำไมแดงเหมือนผลไม้สุก ใบหน้าก็ขาวซีดเหมือนแป้งทำซาลาเปาอะไรเช่นนี้!”

ฉีเหมยลี่ขำในฝีมือการตกแต่งของสาวใช้ แต่ไม่ได้ต่อว่ามากมายนักได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ นางรู้ว่าสาวใช้นั้นหวังดีอยากให้นางสวยยิ่งขึ้น หากแต่สิ่งที่ฉายชัดภายในกระจกกลับไม่เป็นเช่นนั้น...

หลังจากที่แต่งองค์ใหม่กันเสร็จ ฉีเหมยลี่กับสาวใช้ก็สวมหมวกม่านตาข่ายออกไปยังตลาดและแวะดูท่าเรือขนส่งสินค้าด้วยความตื่นเต้น

“ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้มาเห็นที่แบบนี้ด้วยตาตนเอง”

ฉีเหมยลี่คิดว่าถ้าตัวเองไม่โดนส่งตัวมาที่นี่ คงน่าเสียดายมิใช่น้อย

“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู ซูเม่ยเองก็เพิ่งเคยเห็นเรือลำใหญ่ๆเช่นนี้เหมือนกัน”

นางทั้งสองเดินไปดูสินค้าที่ลำเลียงลงมาจากเรือ ถึงแม้ว่าจะมีคนตะโกนดังออกมาว่าทั้งคู่เกะกะขวางทาง แต่นางก็ทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น

ฉีเหมยลี่เห็นพ่อค้าคนหนึ่งดูเงอะงะ เมื่อได้เจรจากับพ่อค้าชาวต่างชาติ ที่มากับสำเภา

นางจึงเดินเข้าไปซักถาม

“มีเหตุอันใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ท่านพ่อค้า”

นางถามออกไป ท่าทีของอีกฝ่ายนั้นดูเหมือนจะสื่อสารกับชาวไกลโพ้นทะเลไม่รู้ความ

“ข้าไม่ค่อยสันทัดในภาษาของชาวหูมากนักท่านหญิง” เขาบอกกล่าวแก่นาง เห็นเช่นนั้นฉีเหมยลี่ก็ใช้ภาษาต่างชาติที่นางเคยร่ำเรียนมาในโลกเก่า เพื่อสื่อสารกับทั้งสองฝ่ายให้เข้าใจ

“สมเป็นลูกสาวของพ่อค้าตระกูลดังในเมืองนี้เสียจริง ข้าเองก็เพิ่งได้รับรู้ว่าฮูหยินของท่านเซิ่นหยางมีความสามารถเรื่องการใช้ภาษาหูด้วย”

เขาบอกขอบใจฉีเหมยลี่ พร้อมทั้งมอบของกำนัลเป็นป้ายหยกขลิบทอง สลักไว้ว่า “ความโชคดี”

“เราไปกันเถอะซูเม่ย” นางหยิบป้ายหยกนั้นเอามาพิศดู เป็นของชิ้นแรกที่นางได้รับหลังจากมายังโลกนี้

“คุณหนูไปเรียนรู้คำแปลก ๆ เหล่านั้นมาจากไหนเจ้าคะ แม้แต่ตอนเป็นเด็กข้าไม่เคยเห็นคุณหนูพูดเลยนะเจ้าคะ”

ซูเม่ยเอ่ยถามถึงความสงสัยจากตัวนายหญิง

ฉีเหมยลี่เพิ่งมาคิดได้ ว่านางเองนั้นทำเรื่องโป๊ะแตกเสียแล้ว

“หรือว่า...” ซูเม่ยเอียงคอสงสัย

ฉีเหมยลี่ได้ทีจึงแกล้งบอกไปว่า เพราะนางป่วย สวรรค์เลยสงสารนาง จึงเพิ่มความสามารถให้นางมาอีกหนึ่งอย่าง

“ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง อย่าไปบอกใครนะซูเม่ย ถ้าท่านเซียนที่สอนข้ารู้เข้า มีหวังได้เอาความสามารถกลับไปเป็นแน่” นางทำท่าทางขึงขัง เพื่อที่จะให้สาวใช้เชื่อเรื่องนี้

ซูเม่ยได้แต่พยักหน้าอย่างงง ๆ แต่ก็รับปากรับคำนายสาวเป็นอย่างดี

“เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะไม่บอกใคร...อย่างเด็ดขาด”

ฉีเหมยลี่ทำท่ารูดซิบปาก สาวใช้นางก็ทำตามอย่างว่าง่ายเลยทีเดียว

ในระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่นั้น ชายรูปร่างสูงคนหนึ่งยืนมองอยู่ใต้ต้นไม้ของอีกฝั่งไม่ไกล เขาสวมอาภรณ์สุภาพดั่งเช่นบุรุษรูปงามในเมืองนี้

เขาสวมกวานสีเงินบนศีรษะ รวบผมขึ้นสูงปล่อยหางม้าลงมายาวเป็นศอก

ชายหนุ่มจ้องมองฉีเหมยลี่ด้วยสายตาแสดงความสงสัยในตัวหญิงสาวผู้นี้เช่นกัน แต่เขามิได้รู้ว่านางคือลูกสาวคหบดี และไม่ทราบเช่นกันว่านางคือผู้ใด แต่ในสายตาเขา นางคงไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ด้วยความสามารถนางเช่นนั้น ย่อมมีความรู้ หากให้เดาอีกครา ไม่แน่ว่านางนั้นคือสายลับที่แฝงตัวเข้ามาสืบเรื่องราวอันใดก็เป็นได้

“นางเป็นใครกันนะ ถึงได้เจรจาภาษาชาวหูได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้”

สองสาวเดินไปตามทาง ผ่านร้านค้าก็จับจ่ายซื้อของเล่นหัวกันอย่างสนุก รอยยิ้มของฉีเหมยลี่ ทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย ไม่ว่านางจะเยื้องกรายไป ณ ที่แห่งใดก็เหมือนจะสะกดสายตาของเขาตามไปด้วยทุกที่ จวบจนกระทั่งฉีเหมยลี่และสาวใช้เดินทางมาถึงจวนตระกูลเซิ่น เขาถึงได้รู้ว่านางอาศัยอยู่ในจวนของเซิ่นหยาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน แต่ทว่าก็ยังไม่พ้นความอยากรู้อยากเห็นว่า…

นางเป็นผู้ใด?

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ