วันต่อมา ฉีเหมยลี่และซูเม่ยออกไปเดินสำรวจตลาดด้วยกัน นางเพลิดเพลินกับการจับจ่ายใช้สอยอย่างยิ่ง เพราะครอบครัวของนางเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ความร่ำรวยนี้มีเพียงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เท่านั้นที่มิอาจซื้อหามาได้
ซูเม่ยเอ่ยปากว่าอยากได้แจกันเพื่อนำไปใส่ดอกไม้ในห้อง พอได้ยินดังนั้น ฉีเหมยลี่ก็ซื้อให้นางทันที มิได้แบ่งแยกชนชั้นว่าสาวใช้เป็นเพียงผู้น้อยที่ไร้ค่าเสมือนฝุ่นธุลี
“ต่อไปทั้งห้องคงเต็มไปด้วยความสวยงามและสดชื่นนะเจ้าคะคุณหนู” สาวใช้ดีใจที่คุณหนูของนางกลับมาสดใสร่าเริง หลังจากที่ได้ปล่อยใจและความรู้สึกที่ไม่ดีหลังวันแต่งงานออกมาจนสิ้น เจ้าสาวที่มิได้รอคอยเจ้าบ่าวใจทรามอย่างเซิ่นหยางช่างควรค่าแก่การมีอยู่บนโลกใบนี้นัก
หากจะกล่าวถึงสามีแม่ทัพอย่างเซิ่นหยาง ตั้งแต่วันที่ได้รับข่าว เขามิได้มาเหลียวแลดูดำดูดีนางที่จวนสมรสแม้เพียงครั้งเดียว แม้ว่าพ่อแม่สามีจะส่งอาหารและยาบำรุงมาให้นาง แต่เมื่อฉีเหมยลี่รับรู้ว่าเป็นของจากจวนใหญ่ นางกลับปัดทิ้งไม่ใยดี สั่งให้ซูเม่ยนำยาและอาหารเหล่านั้นไปทิ้งให้สุนัขกินแทน อีกทั้งนางยังขอเข็มเงินจากท่านหมอที่ช่วยรักษานางไว้หนึ่งเล่มอีกด้วย
“ฮูหยิน ท่านจะเอาเข็มเงินไปทำอะไรหรือ” เป็นคำถามลองเชิงจากท่านหมอผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวและกรำโลกมาเนิ่นนาน
“ข้าจะเอาไว้ตรวจสอบพิษเจ้าค่ะท่านหมอ” นางรับเข็มเงินมาพิศดูรูปทรงของมัน
“ฮ่าๆ ข้ายังมิเคยเห็นกุลสตรีที่ใดเจาะจงการใช้เข็มพิษเช่นเจ้ามาก่อน” ท่านหมอเอ่ยมาทั้งชื่นชมและอดขันมิได้ที่รู้ว่านางคิดเช่นนั้น
“ว่ามิได้หรอกเจ้าค่ะท่านหมอ หากข้ามีอาการเจ็บป่วยด้วยเหตุอันใดที่มิชอบอีก ข้าขอให้ท่านมาช่วยตรวจดูอาการอีกครั้งนะเจ้าคะ”
ครานี้ฉีเหมยลี่เอ่ยปากฝากฝังชีวิตตนเองไว้ในมือท่านหมอเทวดาคนนี้ การที่นางฟื้นคืนมาได้ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่หมอชราท่านนี้มอบให้ก็เป็นได้
เมื่อเข้ามาอยู่ในจวนที่หาได้มีความปลอดภัยเช่นนี้ นางก็ต้องหลิ่วตาตาม หาได้เชื่อใจใครได้นอกจากสาวรับใช้ประจำตัว
หลังท่านหมอลากลับไป นางก็สั่งให้สาวใช้นำสำรับอาหารมาให้ตนได้กินดื่ม
“คุณหนูเจ้าคะ ตั้งแต่หายดี ข้าเห็นท่านกินอิ่มนอนหลับ ข้าน้อยรู้สึกสบายใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
ซูเม่ยบอกกับนางพร้อมรินชาดอกเหมยกุ้ยใส่จอกดินเผาส่งให้นาง
“ทำไมหรือซูเม่ย ข้าดูเปลี่ยนไปในทิศทางใดกัน ไยเจ้าถึงได้จ้องมองข้าเช่นนี้”
“คุณหนู ท่านดูมีน้ำมีนวลขึ้นเจ้าค่ะ” สาวใช้แอบยิ้มอย่างซุกซน มือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบริมฝีปาก ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
“เจ้าจะบอกอะไรข้าหรือ รึว่าตอนนี้ข้าดูไม่ดี” นางหันซ้ายหันขวาเพื่อมองดูรูปลักษณ์ของตนเอง ก็หาได้มีสิ่งใดผิดปกติไม่
“หาได้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะคุณหนู ข้าเพียงคิดว่า ถ้าท่านได้เข้าหอกับท่านนายเซิ่นแล้ว ช่วงเวลานี้ดูเหมือนท่านอาจจะเริ่มตั้งครรภ์แล้วก็ได้เจ้าค่ะ”
ซูเม่ยคิดถึงว่านางอาจจะได้มีบุญเฝ้าเลี้ยงดูบุตรของนายหญิงตนในภายหน้าก็ยิ้มสว่าง
“วาจาเจ้าตอนนี้ น่าเอาปากไปจิ้มเกลือกินนักนะ” แต่ฉีเหมยลี่ก็มิได้ว่ากล่าวอันใดซูเม่ย เพียงแต่รู้สึกว่าตนเองอาจจะมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ สตรีต่างชนชั้นสนทนาเล่นได้ไม่นานนักเพราะนอกจากพวกนางแล้ว ในตอนนี้ก็มีแขกที่มิได้รับเชิญเอ่ยปากขึ้น...
“ตั้งครรภ์เช่นนั้นหรือ ช่างน่ายินดีนักนะเจ้าคะฮูหยินเอก” ประตูห้องได้ถูกเปิดขึ้นอย่างถือวิสาสะ วันนี้ฟางลี่หมิงเข้ามายังจวนเรือนหอของฉีเหม่ยลี่ได้ เห็นทีนางคงได้มีเรื่องต้องปวดหัวไปครึ่งวัน
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าอยากจะขอมอบผลไม้มงคลที่คู่ควรกับการกำเนิดบุตรให้แก่ฮูหยินเอกท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
นางก้มศีรษะให้แก่ฮูหยินเจ้าเรือนหนึ่งครั้งเล็กๆ พร้อมกับนำกระเช้าผลไม้จำพวกสาลี่หิมะ ส้มสีทองอร่าม และลูกท้อสีชมพูสดน่ารับประทานติดมือมาด้วย นางเดินเข้ามายังโต๊ะมุกที่หญิงสาวนั่งอยู่ สาวใช้ของนางอีกสองคนเข้ามาประกบข้างตัวซูเม่ย พร้อมกันนั้นก็จับตัวนางเอาไว้
“พวกเจ้าปล่อยสาวใช้ของข้านะ” นางตวาดฮูหยินรองเสียงดังเพราะฝ่ายนั้นช่างป่าเถื่อนนัก เข้ามาหาเรื่องนางถึงในเรือนยังไม่พอ ยังสามหาวทำคนของนางได้
“แหม! ช่างปกป้องกันดีเสียจริงนะเจ้าคะ ข้าแค่อยากอยู่เสวนากับฮูหยินเอกแค่สองคนเท่านั้นเอง” ฟางลี่หมิงป้องปากหัวเราะอย่างน่าหมั่นไส้
“เจ้าสองคนนำตัวสาวใช้ออกไปก่อน เจ้านายเขาจะคุยกัน ข้าทาสบริวารหาได้ควรรู้ไม่!”
สองสาวใช้ยื้อยุดฉุดกระชากซูเม่ยให้ออกไปด้านนอก นางพยายามปัดป้อง แต่สาวใช้อีกคนกระชากผมนางเอาไว้พร้อมเอ่ยคำขู่ “อย่าให้พวกข้าต้องใช้กำลังกับเจ้านะ!”
“คุณหนูเจ้าคะ อย่าไปยอมพวกเขานะ สู้นะเจ้าคะ!” นางรู้ว่าคุณหนูของนางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉีเหมยลี่คนนี้นางมีปัญญามากกว่าเดิม
“เจ้าต้องการอะไรหรือฮูหยินรอง มาหาข้าด้วยธุระอันใด”
เจ้าของเรือนตะวันออกอย่างฉีเหม่ยลี่ถามออกไป แต่นางก็คิดในใจอยู่หรอก ว่าเมียอีกคนของเซิ่นหยางคงมิได้มาดี คงถือดาบมาเพื่อทิ่มแทงใจนางเป็นแน่แท้!
“ฮูหยินเอก! ทำไมท่านเอ่ยวาจาเช่นนั้น ข้านี่รึก็หวังดี นำผลไม้ชั้นเลิศมาให้ท่านถึงที่ จะไม่กล่าวขอบใจข้าหน่อยหรือไง” ผู้มาเยือนวางกระเช้าลงบนโต๊ะตรงหน้า นางยังคงส่งสายตาชวนเย้ยหยันให้ฮูหยินเอกอย่างไม่คิดปิดบัง
“อากาศที่เรือนนี้ก็เย็นสบายดีอยู่หรอกนะ” นางแหงนหน้ามองไปยังแจกันดอกไม้หยกชิ้นงาม
“แต่เรือนข้านั้นร้อนกว่า เพราะท่านแม่ทัพช่างเร่าร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิงเสียอีกนะฮูหยินเอก” นางโอ้อวดถึงเรื่องราคะที่เซิ่นหยางมอบให้ทุกวี่วัน แต่มีหรือที่ฉีเหมยลี่จะให้ค่าคนเช่นนาง อีกอย่างการที่คนชั่วช้าเช่นเซิ่นหยางไม่มาวอแวกับนางได้ก็เป็นสิ่งดีสำหรับนางนัก
“อ๋อ! เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นเจ้ามิต้องเปลื้องผ้าเดินหรอกหรือ ในเมื่อไฟราคะมันแผดเผาจนเจ้าต้องมาหาข้าเพื่อดับไฟเช่นนี้”
ฉีเหมยลี่สาดน้ำในจอกใส่ใบหน้าของฟางลี่หมิง
“ออกไปจากเรือนข้าเดี๋ยวนี้ นางแพศยา!” ฉีเหมยลี่ออกปากไล่แขกที่มิได้รับเชิญ
“อย่ามาย่ำเท้าสกปรกในเรือนของข้าอีก จำไว้!”
“ฮูหยินเอก! ท่านทำเช่นนี้มันเกินไปแล้วนะ!” ฟางลี่หมิงเดือดดาลยิ่งนัก นางกรีดร้องออกมาเสียงดังราวกับโดนน้ำร้อนลวกจนสาวใช้ที่อยู่ด้านหน้ารีบรุดเข้ามายังในห้อง ภาพที่เห็นหลังประตู นั่นคือฮูหยินของตัวเองล้มลง พร้อมกับกาน้ำชาที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ฟางลี่หมิงเอากระเบื้องมากรีดที่แขนของตนเองเป็นทาง พร้อมกับทำตาแดง ๆ แสร้งบีบน้ำตาให้ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ฮูหยินเอก ท่านทำร้ายข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าทำผิดอันใดหรือ ฮือ ๆ “
“ข้าหรือ?...ข้าก็แค่ยืนเฉย ๆ นางทำตัวเองแท้ๆ” ฉีเหมยลี่นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่อดกลั้นความขำไม่ได้เลยจริง ๆ ฟางลี่หมิงการแสดงชัด ๆ นี่หากนางเป็นดาราอยู่ในยุคของนางคงกวาดรางวัลนับไม่ถ้วน
“ท่านแม่ทัพต้องช่วยข้า ข้าโดนฮูหยินเอกรังแก!” นางบอกกล่าวกับสาวใช้ทั้งสอง
“เชิญพวกเจ้าขี่ม้าสามศอกไปบอกเซิ่นหยางได้เลย ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ” นางไม่มีความกลัวเกรงเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เซิ่นหยางคนชั่วถือหอกถือดาบมาหาเรื่องนางก็มิหวั่น
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?