ตอนที่ 8. พบหน้าครั้งแรก

หมิงเยี่ยได้ยินคำว่าแต่งก็หลุบสายตามองเงาตนเองในจอกชา เขาไม่ได้สนใจว่านางจะมีคู่หมั้นหรือไม่ ต่อให้นางมีกำหนดขึ้นเกี้ยวแดงในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากเขาอยากได้ เขาก็ต้องได้

ความคิดคนทั้งสามหมุนเวียนกันไปคนละทิศละทาง กระทั่งหยวนเซิ่งเจ๋อที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถงก็ยังสัมผัสได้ เขาเหลือบสายตามองนางในดวงใจครู่หนึ่งเห็นมู่เสวี่ยหลิงส่งยิ้มกว้างไม่ปิดบังมาให้ก็เขินอายหน้าแดงรีบค้อมกายทำความเคารพมู่เหยียนจงและแขกของท่านลุงมู่

“คารวะท่านลุงมู่” หยวนเซิ่งเจ๋อหันไปทางแขกท่านนั้น เขาอ้ำอึ้งเล็กน้อย “คารวะ-”

มู่เหยียนจงแนะนำเสียงเรียบ ลูกเขยที่เคยหมายมั่นปั้นมือเมื่อนำมาเทียบกับหมิงเยี่ยในตอนนี้ก็ดูเกะกะลูกตาไปเสียทุกส่วน “ท่านหมิงเยี่ย ขุนนางขั้นสี่จากเมืองหลวง”

หยวนเซิ่งเจ๋อแย้มยิ้มอ่อนจาง เขาดูไม่มีท่าทางประหม่าเลยแม้แต่น้อยต่อให้อยู่ตรงหน้าขุนนางใหญ่ “คารวะท่านหมิง เป็นเกียรติของข้าน้อยที่ได้พบท่านขอรับ”

มู่เสวี่ยหลิงเห็นบิดากำลังจะอ้าปากพูดก็พอมองออกว่าเขาต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดอาจถึงขั้นบอกว่าหยวนเซิ่งเจ๋อไม่ใช่คู่หมั้นของนางก็ชิงพูดขึ้นตัดหน้า

“ท่านหมิง ท่านนี้คือหยวนเซิ่งเจ๋อ บุตรชายคนโตของกลุ่มการค้าตระกูลหยวน คู่หมั้นของข้าเจ้าค่ะ”

หมิงเยี่ยหยิบรอยยิ้มสุภาพขึ้นแขวนบนใบหน้า เขาคารวะหยวนเซิ่งเจ๋อเช่นกัน “คุณชายหยวน”

ครั้นทำความรู้จักกันเรียบร้อยมู่เสวี่ยหลิงก็ไม่เกรงใจอีก นางลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกหยวนเซิ่งเจ๋อเหมือนเด็ก ๆ “พี่หยวน มานั่งข้างข้าสิเจ้าคะ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมเล่า”

หยวนเซิ่งเจ๋อไม่ได้เจอหน้ามู่เสวี่ยหลิงมาสามเดือนแล้วนั่นก็เพราะว่าครั้งล่าสุดที่เขามาเยี่ยมนางไล่ตะเพิดเขาออกจากเรือนทั้งยังกรีดร้องเสียงดังไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมแต่งกับเขาเด็ดขาด โชคดีที่คราวนั้นเขามาเยี่ยมสกุลมู่แต่เพียงผู้เดียว ถ้าหากเรื่องนี้หลุดรอดไปถึงหูท่านพ่อ เขาไม่อยากคิดว่ามู่เสวี่ยหลิงจะรับโทสะของบิดาเขาได้อย่างไร

หยวนเซิ่งเจ๋อได้ยินนางเรียกเขาสนิทสนมเช่นนั้นก็พลันใจอ่อนยวบอยากเดินเข้าไปหานางใจจะขาด ติดก็แต่ว่าตรงนี้ไม่ได้มีเพียงพ่อลูกตระกูลมู่ จะหยิบจำทำสิ่งใดเขาก็ต้องรักษามารยาทไว้บ้าง

“เสวี่ยหลิง-”

มู่เสวี่ยหลิงแสร้งทำสีหน้าน้อยอกน้อยใจ นางเค้นน้ำตามาได้เม็ดหนึ่งจนขอบตาแดงเรื่อ “พี่หยวน เพราะเรื่องคราวที่แล้วทำให้ท่านหมางเมินข้าหรือเจ้าคะ ท่านเรียกข้าหลิงหลิงมาตลอดเหตุใดคราวนี้ถึงเรียกข้าว่าเสวี่ยหลิงเล่า”

หยวนเซิ่งเจ๋อรักนางปานดวงใจ มีหรือจะทนมองน้ำตาของนางได้ เขารีบกลับคำ “หลิงหลิง ตรงนี้ยังมีท่านลุงและท่านหมิงอยู่ เจ้าอย่าเสียมารยาทเป็นอันขาด”

มู่เสวี่ยหลิงทำหน้ายู่ นางเดินเข้ามาใกล้เขา มือจับเข้าที่ท่อนแขนแกร่งของคู่หมั้นหนุ่มโดยไม่เขินอายทั้งยังออกแรงลากเขากลับไปที่นั่งด้วยกัน นางบ่นเบา ๆ “จะเสียมารยาทอะไรกันเจ้าคะ ท่านเป็นคู่หมั้นข้า ก็ต้องนั่งข้างข้าอยู่แล้ว ท่านจะไปนั่งข้างท่านหมิงได้อย่างไร หรือว่าท่านอยากเป็นคู่หมั้นของท่านหมิงกัน”

หยวนเซิ่งเจ๋อไม่เคยรู้สึกหวานล้ำเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เขาพยักหน้าเออออรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจากปากของมู่เสวี่ยหลิงเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว “ถูกของเจ้า เป็นข้าคิดน้อยไปเอง หลิงหลิงอย่าได้โมโหไปเลย”

ลี่ลี่เป็นสาวใช้ที่รู้งานรู้ใจของนางดีที่สุด เพียงมู่เสวี่ยหลิงนั่งลงก็รีบยกกาน้ำชาอันใหม่ขึ้นมาวางแทนที่ มู่เสวี่ยหลิงรินชานั้นใส่จอกด้วยตนเอง ยื่นมันถึงปากเขา นางพูดเสียงอ่อนหวาน

“พี่หยวน ข้าสั่งให้คนไปซื้อเถี่ยกวนอินห่อนี้มาเมื่อวันก่อน ตอนแรกตั้งใจจะส่งไปให้ท่านแต่ยังคิดหาคำเหมาะ ๆ ฝากไปไม่ได้ ไหน ๆ ท่านก็มาที่นี่แล้วลองชิมสักหน่อยเป็นอย่างไรเจ้าคะ”

หยวนเซิ่งเจ๋อไม่เคยใกล้ชิดสตรีใดมาก่อน เขาปักใจรักมู่เสวี่ยหลิง ต่อให้จะถูกนางขับไสไล่ส่งมากสักเพียงไรเขาก็ไม่เคยจากไปไหนทั้งยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนอยู่เรื่อย ๆ เห็นนางในดวงใจอ่อนหวานกับตนถึงปานนี้ หยวนเซิ่งเจ๋อก็รู้สึกว่าตนเองตายได้ไม่เสียดายชีวิตแล้ว

เขาเหลือบมองสีหน้าท่านลุงมู่ครั้งหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายใบหน้ามืดครึ้มก็รับจอกชาจากมู่เสวี่ยหลิงมาถือไว้ ไม่ได้ดื่มชาลงไปทั้ง ๆ ที่นางเป็นคนป้อน หยวนเซิ่งเจ๋อกระซิบเสียงเบา “หลิงหลิง อย่าเสียมารยาท”

“ข้าลืมไปเลยว่าเราไม่ได้อยู่กันเพียงสองคน” มู่เสวี่ยหลิงยกมือขึ้นปิดปากทำสีหน้าได้น่ารักน่าเอ็นดูอย่างเหลือแสน นางหันไปหาบิดาทั้งยังเอ่ยขอโทษขอโพย

“ท่านพ่อ ท่านหมิง ได้โปรดให้อภัยในความโง่เขลาของข้าด้วย ข้าไม่เจอพี่หยวนนานเกินไปหน่อยจึงรู้สึกคิดถึงเขาอยู่มาก พอได้เจอก็อดใจไม่ไหวใกล้ชิดเขาให้เป็นที่ขบขันต่อพวกท่านแล้ว”

มู่เหยียนจงน้ำท่วมปาก ต่อให้ตอนนี้จะแก้ไขว่ามู่เสวี่ยหลิงไม่ได้รักชอบทั้งยังไม่ได้หมั้นหมายกับหยวนเซิ่งเจ๋อก็ดูจะไม่ทันเสียแล้ว บุตรสาวเขาแสดงออกถึงเพียงนั้น หากพูดออกไปไม่ใช่ว่าเป็นการฉีกหน้าตัวเองทิ้งต่อหน้าแขกสูงศักดิ์หรอกหรือ หมิงเยี่ยคงคิดว่าเขาอยากขายบุตรสาวเข้าจวนตระกูลหมิงเสียจนตัวสั่น กระทั่งสัญญาหมั้นหมายในวันวานก็ยังบอกปัดได้ แค่คิดมู่เหยียนจงก็ปวดเศียรเวียนเกล้า แค้นเคืองจนพาลไม่มองหน้าลูกสาวไปอีกคน

หมิงเยี่ยกลับรับมือได้ดีกว่า เขายิ้มแย้มทำเป็นมองไม่เห็นสายตารักใคร่ปานจะกลืนกินของคนทั้งสอง พูดเสียงเอื่อยเฉื่อย “คุณหนูมู่กับคุณชายหยวนรักใคร่กันดีจนข้านึกอิจฉาอยู่บ้าง” เขาเลื่อนสายตาวางลงบนใบหน้าของมู่เสวี่ยหลิง

“หวังเพียงอยากให้บุปผามีใจตอบข้า เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว”

หมิงเยี่ยเสแสร้งได้ มู่เสวี่ยหลิงเองก็เสแสร้งได้เช่นกัน นางมองเมินสายตาหวานหยดย้อยของหมิงเยี่ย หันมองหยวนเซิ่งเจ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่ว่าจะพิศมองอย่างไรมู่เสวี่ยหลิงก็ยังรู้สึกว่าพี่หยวนของนางช่างหล่อเหลา

ใบหน้าของเขาประหนึ่งหยกที่ได้รับการแกะสลักจากช่างยอดฝีมือเป็นผลงานศิลปะชั้นเลิศ ทั้งคิ้วกระบี่และดวงตาคู่คมของเขาทำเอานางหัวใจสั่นไหว มู่เสวี่ยหลิงเลื่อนสายตาลงต่ำ จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากบางหยักได้รูปสวยของเขาครู่หนึ่งก่อนเลื่อนสายตาออกด้วยความเขินอาย

มู่เหยียนจงเห็นว่าบทสนทนานิ่งเงียบไปก็กลัวว่าบุตรสาวตัวดีจะทำให้นายท่านหมิงไม่พอใจเสียแล้ว เขารีบลุกขึ้นยืน กล่าวชวนหมิงเยี่ยไปรับสำรับด้วยกัน มู่เสวี่ยหลิงเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน นางกล่าวเสียงฉะฉาน

“ท่านพ่อ ท่านหมิงเป็นแขกของท่านเป็นคนสำคัญที่ท่านต้องดูแล ข้ากับพี่หยวนอยู่รบกวนนาน ๆ ก็ดูจะเสียมารยาทไปบ้าง อย่างไรขอให้ท่านพ่อและท่านหมิงเกษมสำราญในมื้ออาหารนี้นะเจ้าคะ” นางยอบกายครั้งหนึ่งก่อนยืดแผ่นหลังสง่าผ่าเผยทั้งลำคอยังตั้งตรงไร้ความกลัวเกรง

มู่เสวี่ยหลิงหันไปหาคู่หมั้นหนุ่มด้านข้าง พูดเสียงอ่อน

“ไปกันเถอะเจ้าค่ะพี่หยวน”

โพสต์ข้อความ