ตอนที่ 2. น้ำใจจากป้าหวัง

กลับมาปัจจุบันสองเท้าของลูกเจียวเดินมุ่งหน้าไปยังตลาด สายตาสำรวจบรรยากาศรอบตัวไปด้วย เดินจากบ้านไม่นานก็มาถึงจุดที่เป็นลานค้าขายของในหมู่บ้าน มันไม่ได้มีอะไรมาก แค่เพียงร้านค้าเล็ก ๆ สามสี่ร้าน  

เธอล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อ มันว่างเปล่า เงินไม่มีแม้แต่หยวนเดียว แต่ไม่ใช่เวลาที่ลู่เจียวจะมายอมแพ้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เดินตรงไปยังร้านขายผักร้านหนึ่ง ที่จำได้ลาง ๆว่าเป็นคนจิตใจดีกับร่างนี้เสมอมา 

“สวัสดีค่ะ ป้าหวัง”  

“อ้าว ลู่เจียว! ไม่ได้เจอเธอตั้งนานนะ” ป้าหวังหันมามองและทักทายด้วยรอยยิ้ม 

“ฉันไม่ค่อยสบายนิดหน่อยค่ะ” ลู่เจียวตอบอย่างสุภาพ สายตากวาดมองหาผักที่พอจะนำกลับไปทำอาหารได้ 

“เอาผักอะไรก็หยิบได้เลยนะ ป้าขอจัดผักหน่อย” ป้าหวังเอ่ยบอก มือก็วุ่นวายกับการจัดผักตามชนิดของมัน 

ลู่เจียวหยิบผักสองสามอย่างใส่ในตะกร้า แล้วบอกป้าหวัง 

"ขอข้าวสารหนึ่งถุงด้วยนะคะ ป้าหวัง” เธอหยุดพูดรอให้ป้าหวังหยิบข้าวสารใส่ในตะกร้าเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่มั่นใจ 

“เอ่อ... ป้าหวัง วันนี้ฉันขอติดค่าผักกับข้าวไว้ก่อนได้ไหมคะ? ฉันไม่มีเงินเลย วันนี้ไม่ค่อยสบาย ไม่ได้ขึ้นเขาไปหาของกิน" 

“อะไรนะ นี่แม่สามีของเธอยึดอาหารไปอีกแล้วใช่ไหม?” ป้าหวังเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่มีเงิน ก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ  

ใคร ๆ ในหมู่บ้านต่างรู้ถึงนิสัยของจางซูหลินที่กดขี่และข่มแหงลูกสะใภ้กับหลานทั้งสองคน พวกเขาจึงได้ช่วยสามแม่ลูกบ้างตามกำลังที่พวกเขาสามารถทำได้ 

ลู่เจียวไม่ได้ตอบอะไร แต่ความเงียบของเธอคงเป็นคำตอบได้ดีให้กับป้าหวัง 

"เอาไปก่อนเถอะ มีเงินก็ค่อยเอามาให้ก็แล้วกัน" 

“ขอบคุณมากค่ะป้าหวัง ขอบคุณแทนซีซวนกับชิงอีด้วยนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณแล้วรีบกลับบ้าน 

 พวกเด็ก ๆ ยังรอเธออยู่ที่บ้าน แม้ว่าลู่เจียวไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้... แต่ตอนนี้พวกเราสามคนแม่ลูกจะมีอาหารสำหรับมื้อเย็นแล้ว 

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ลู่เจียวเปิดประตูเข้าบ้านไปอย่างช้า ๆ ระมัดระวัง ไม่ใช่อะไรหรอก ขืนเปิดอย่างแรง บ้านหลังนี้คงไม่มีประตูอีกต่อไป เด็กสองคนยังนั่งเล่นของเล่นเก่า ๆ ที่มุมห้องเหมือนเดิม 

“แม่กลับมาแล้ว” ลู่เจียวบอกลูกทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงสดใส รอยยิ้มน้อยๆ ถูกส่งออกไป เด็กทั้งสองคนเมื่อได้ยินเสียงของมารดาก็หันไปมอง 

ซีซวนลูกชายคนโตรีบลุกขึ้น วิ่งมาดูของข้างในตะกร้า “แม่...วันนี้เราจะมีข้าวกินแล้วใช่ไหม?” เด็กชายถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความดีใจ 

“ใช่จ้ะ ลูกกับน้องนั่งรอแม่ก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะไปทำมื้อเย็นให้ลูกสองคนแปปเดียวเท่านั้น” ลู่เจียวตอบแล้วรีบหิ้วตะกร้าเดินเข้าไปในครัวเล็กที่มีเพียงหม้อเก่า ๆ กับเตาถ่านที่ไฟเริ่มมอดดับ 

เอาละสิ! ลู่เจียว เตาถ่านไม่ใช่เตาแก๊ส เหอะ! มันจะแค่ไหนกันเชียว ภาพเตาถ่านตรงหน้าทำให้ลู่เจียวอดที่จะยิ้มไม่ได้ ถึงทำงานในปักกิ่งมานาน แต่วิถีชีวิตชนบทก็ยังฝังอยู่ในสายเลือด โดยเฉพาะเรื่องการทำอาหารของเธอ 

แม่เคยบอกว่าอาหารจากเตาถ่านมีเสน่ห์ตรงกลิ่นควันไฟทำให้รสชาติพิเศษกว่าอาหารที่ทำจากเตาแก๊ส คำพูดนั้นฝังอยู่ในความทรงจำ จนทุกครั้งที่ได้กลับบ้านลู่เจียวจึงไม่เคยรู้สึกว่าการก่อไฟเป็นเรื่องยาก ทักษะนี้อาจไม่เทียบเท่างานขายที่ถนัด แต่ก็เป็นความภูมิใจอีกอย่างที่ได้รับถ่ายทอดมาจากแม่ 

ใช้เวลาทำข้าวต้มผักเกือบชั่วโมง มันคือข้าวต้มผักจริง ๆ เพราะมันมีแค่ข้าว ผัก และเกลือเท่านั้น เครื่องปรุงอะไรไม่ต้องถามถึง หลังจากที่อาหารพร้อมกิน ลู่เจียวก็ตักข้าวต้มผักใส่ชามเล็กให้กับลูก เสร็จแล้วก็นั่งลงข้างพวกเขาในขณะที่ลูกทั้งสองคนเริ่มลงมือกินมื้อเย็น เธอนั่งมองพวกเขากินเงียบ ๆ ในหัวก็อดคิดและกังวลถึงอนาคตไม่ได้ 

“แม่...ขอบคุณนะ” ซีซวนพูดขึ้นในขณะที่เขาตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเงยหน้ามามองหน้าเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความซาบซึ้ง สายตาแบบนั้นทำให้ลู่เจียวยิ้มออกมาได้ ถึงแม้ว่าในใจจะยังคงกังวลอยู่ก็ตาม 

ลู่เจียวนั่งมองลูกทั้งสองคนด้วยความรักและเอ็นดู แต่ก็ต้องเข้มงวดในเรื่องมารยาทการพูดจา เสียงนุ่มนวลหนักแน่นดังขึ้น "ซีซวน ต่อไปลูกต้องมีคำลงท้ายด้วยนะ ลูกเป็นผู้ชายต้องมีคำว่าครับด้วย" 

สายตาเลื่อนไปที่ลูกสาวคนเล็ก ดวงตากลมโตของชิงอีจ้องมองผู้เป็นแม่อย่างตั้งใจ "ส่วนชิงอี หนูเป็นผู้หญิงต่อไปต้องมีคำว่า คะ หรือ ค่ะ ด้วย เข้าใจไหม" 

ลูกทั้งสองพยักหน้ารับเงียบๆ ทำให้ลู่เจียวต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเธอจ้องมองพวกเขาอย่างคาดหวัง จนกระทั่งเสียงเล็กๆ สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน  

"เข้าใจครับ/เข้าใจค่ะ" 

รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนใบหน้า มือของเธอเอื้อมไปลูบศีรษะของชิงอีอย่างทะนุถนอม "ดีมากจ้ะ" ลู่เจียวเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ในใจนึกดีใจที่ลูกๆ เริ่มเรียนรู้มารยาทในการพูดจา แม้จะต้องใช้สายตาดุๆ บ้างก็ตาม 

กว่าสองพี่น้องจะกินมื้อเย็นจนเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็พากันนั่งเล่นที่มุมโปรด ส่วนเธอก็ไปตักเอาข้าวต้มผักที่เหลือน้อยนิดมานั่งกินต่อ เธอเป็นแม่และเป็นผู้ใหญ่ ทนหิวหน่อยก็ไม่เป็นไร  

แต่พวกเขายังเด็ก ต้องการสารอาหารที่เพียงพอ ถูกหลักอนามัย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของพวกเขา แต่ในตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือคนที่แบกรับภาระเด็กสองคนตรงหน้า 

ชาติก่อนแฟนยังไม่มี ชาตินี้ลืมตามาก็มีลูกแล้วสองคน ประสบการณ์การเป็นแม่หรือเป็นพี่ยังไม่มีเลย แล้วแบบนี้ลู่เจียวจะทำได้ไหม จริงอยู่ว่าเธอประสบความสำเร็จในเรื่องการทำงาน แต่นี่คือการเลี้ยงเด็กเชียวนะ! 

หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ด้านนอกกระท่อมก็มืดแล้ว ตะเกียงถูกจุดขึ้น พวกเราสามคนแม่ลูกนอนด้วยกัน ลู่เจียวนอนมองหน้าลูกทั้งสองคนพลางให้คำสัญญากับตนเอง จะต้องทำให้ชีวิตของร่างนี้กับลูก ๆ มีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน 

ชาติก่อนถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จในฐานะนักการตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ในความสำเร็จนั้นเธอก็สูญเสียโอกาสสัมผัสกับความสุขของคำว่า ครอบครัวเหมือนกัน ลู่เจียวคิดเสมอว่าการที่ทำให้มีฐานะร่ำรวย มีเงินทองมากมาย ต้องทำงานหนักเพื่อพวกเขา  

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการกลับไม่ใช่เงินทองอะไรมากมาย การได้กินข้าวด้วยกัน การได้ทำอะไรด้วยกันต่างหากที่พวกเขาและเธอต้องการ 

แต่ชีวิตใหม่ลู่เจียวจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก เด็กสองคนนี้เธอต้องปกป้องและทำให้พวกเขามีความสุขในอนาคตให้ได้ 

หลังจากให้สัญญากับตนเองแล้ว ลู่เจียวห่มผ้าที่เริ่มขาดและเก่าคลุมให้กับลูกชายหญิงและตนเอง เธอนอนกอดร่างตนเอง การที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเจอกับอะไร แต่สัญญาว่าจะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่ามันจะยากมากแค่ไหนก็ตาม

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ