“ท่านพี่ โปรดจงเชื่อข้าเถิด เด็กคนนี้เป็นบุตรของท่านพี่จริง ๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่ได้สวมหมวกเขียวให้ท่านพี่แต่อย่างใด”
หานว่านอี้ ฮูหยินเอกของไต้เว่ย นายน้อยของตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งของเมืองหลวงร้องไห้เอ่ยละล่ำละลักยืนยันคำพูดของนางพลางกอดขาสามีไว้แน่น
“หานว่านอี้... ข้าไม่นึกเลยว่าหญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าจะกล้าสวมหมวกเขียวให้ข้า” ไต้เว่ยเอ่ยขึ้นพลางพยายามสลัดขาตนเองออกจากหานว่านอี้
“ข้าขอถามเจ้าหน่อยเถิด เจ้าแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของข้ามีเรื่องอันใดบ้างที่ข้าทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ? ข้าไม่ดูแลให้เกียรติเจ้าในฐานะฮูหยิน เอกหรอกหรือ? เหตุใดเจ้าจึงได้ตอบแทนข้าเช่นนี้ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก...”
ไต้เว่ยสะบัดขาของตนที่หานว่านอี้กอดไว้ออกได้ในที่สุดแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างบิดามารดา รวมทั้ง หยูจิวซือ ฮูหยินรองของตน
ทางด้านหานว่านอี้ที่กำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ หลังจากถูกสามีสะบัดขาจากไปนางก็ถึงกับหงายหลัง แต่ดีที่นางหัวไวใช้มือยันพื้นไว้ได้ทันก่อนจะล้มกระแทกลงไป ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นผลดีกับนางและเด็กในครรภ์เป็นแน่
“ท่านพี่ ท่านพ่อ ท่านแม่... ข้าหานว่านอี้ขอสาบานต่อฟ้าว่าข้าไม่เคยประพฤติผิดต่อท่านพี่ เด็กในท้องของข้าเป็นบุตรของท่านพี่จริง ๆ ขอพวกท่านจงเชื่อใจข้าด้วย”
หลังกลับมาทรงตัวได้มั่นคงหานว่านอี้ก็เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและจริงจัง พลางส่งสายตาอ้อนวอนให้กับสามีและครอบครัวของอีกฝ่ายโปรดเชื่อใจนางสักครั้ง
“พี่หญิง ท่านก็รู้ว่าคราไปค้าขายที่แคว้นซ่งครั้งนั้นท่านพี่ถูกทำร้ายจนทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ แล้วเด็กในท้องของพี่หญิงจะเป็นบุตรของท่านพี่ได้เช่นไรกันล่ะเจ้าคะ?” หยูจิวซือ ฮูหยินรองของไต้เว่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานคล้ายเห็นใจ แต่นางกลับยกยิ้มที่มุมปากอย่างหยามเหยียดสตรีตรงหน้า
“จิวซือ หากเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!” หานว่านอี้หันไปตะคอกใส่ฮูหยินรองของสามีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ท่านพี่เจ้าคะ พี่หญิงกำลังคุกคามข้า…” หยูจิวซือทำท่าทางหวาดกลัวแล้วหันไปเกาะแขนสามีไว้แน่น
“หานว่านอี้ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นหญิงงามเมืองเช่นนี้ ที่ซือเอ๋อร์เอ่ยออกมานั้นถูกต้องแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อว่านางเช่นนี้”
“ท่านพี่ ข้าหาใช่หญิงงามเมืองไม่ ข้านั้นซื่อสัตย์ต่อท่านพี่เพียงคนเดียว ท่านพี่โปรดเชื่อใจข้าสักครั้งเถิด” หานว่านอี้เอ่ยออกมาอีกครั้ง นางขอร้องอ้อนวอนไต้เว่ยให้เชื่อใจนาง
“พี่หญิง ท่านบอกว่าท่านซื่อสัตย์ต่อท่านพี่เพียงคนเดียว แต่ท่านพี่เป็นหมันมีบุตรไม่ได้ แล้ว...” หยูจิวซือยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหานว่านอี้ตะคอกกลับอีกครั้ง
“หุบปาก! ตอนนี้ข้ายังคงเป็นฮูหยินเอกของท่านพี่ เจ้ากล้าเถียงข้าเช่นนี้หรือ?”
“ทะ...ท่านพี่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ” หยูจิวซือหันไปออดอ้อนไต้เว่ยเสียงสั่นและทำท่าทางหวาดกลัวอีกครั้ง
“เจ้านั่นแหละหุบปากหานว่านอี้ ในเมื่อเจ้าสวมหมวกเขียวให้ข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงไปไถ่โทษความผิดของเจ้าที่ศาล”
“เดี๋ยวก่อนอาเว่ย” ในตอนที่เรื่องกำลังจะเลยเถิดไป ฮูหยินใหญ่จงเซียนซึ่งเป็นมารดาของไต้เว่ยก็ได้เอ่ยทักไว้ก่อน
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงหยุดข้าไว้ มีอันใดหรือขอรับ?”
“ถือว่าแม่ขอได้หรือไม่ จงอย่าถึงกับนำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลเลย เพียงออกหนังสือหย่าให้นางแล้วขับไล่ออกจากตระกูลไปก็เพียงพอแล้ว...”
จงเซียนเอ่ยขอร้องบุตรชายไว้ด้วยน้ำเสียงเมตตา
ในแคว้นโจว หากหญิงนางใดสวมหมวกเขียวให้สามี สามีมีสิทธิ์ยื่นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อทำโทษภรรยาได้ โดยหญิงที่ถูกฟ้องร้องต่อศาลจะโดนแห่ประจานไปทั่วเมือง และให้ชาวบ้านรุมประณามโดยการถูกขว้างปาด้วยสิ่งของ
ส่วนมากหญิงนางนั้นแค่ได้ยินว่าต้องถูกแห่ประจานก็ชิงฆ่าตัวตายก่อนแล้ว จงเซียนจึงเอ่ยขอร้องบุตรชายให้กับสะใภ้ตนเอง ซึ่งสาเหตุที่นางทำเช่นนี้หาใช่ว่ามีเมตตาอันใด แต่นางเพียงกำลังทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากบิดาของหานว่านอี้กับสามีของนางเป็นสหายรักกัน
ในตอนที่ทั้งคู่ยังหนุ่มแน่น บิดาของหานว่านอี้ได้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยให้สามีของนางรอดพ้นจากโจรป่า นางจึงได้รับเอาหานว่านอี้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้เพื่อตอบแทนบุญคุณของบิดานาง
ส่วนมารดาของหานว่านอี้เสียชีวิตตั้งแต่นางยังเล็ก หานว่านอี้จึงเติบโตมาในจวนตระกูลไต้ เป็นเด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูเพื่อรอวันแต่งเป็นฮูหยินน้อยของตระกูล
“พ่อก็ขอร้องด้วยเช่นกัน เจ้าทำตามที่มารดาเจ้าบอกเถิด” นายท่านไต้ได้เอ่ยปากออกมาช่วยพูดเสริมอีกแรง
“ก็ได้ขอรับ เห็นแก่ที่ท่านพ่อท่านแม่ได้ขอร้องไว้ เช่นนั้นข้าก็จะทำตาม”
“หานว่านอี้ นับจากนี้ถือว่าบุญคุณความแค้นระหว่างข้า ตระกูลไต้และเจ้าหมดสิ้นแล้ว... พ่อบ้าน เอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้าที” สุดท้ายไต้เว่ยตัดสินใจพูดออกไปเช่นนั้นเมื่อได้ยินคำขอร้องจากทั้งบิดาและมารดา
ตัวเขานั้นหาใช่ว่าไม่รักฮูหยินของตนเอง ด้วยเติบโตมาด้วยกัน แต่งงานอยู่ด้วยกันมาก็หลายปี ย่อมต้องมีความผูกพันฉันสามีภรรยาอยู่แล้ว
หานว่านอี้เป็นทั้งเพื่อนทั้งน้องสาว เขารักและให้เกียรตินางมาก แต่ถึงกระนั้นการที่หญิงที่ตนเองรักมาสวมหมวกเขียวให้แบบนี้เขาก็ไม่สามารถยอมรับได้จริง ๆ
“ท่านพี่ ข้านั้นรักท่าน รักมาตั้งแต่ยังเด็ก รักมาตลอด แล้วเหตุใดข้าจะทำความผิดต่อท่าน... เรื่องนี้ต้องมีอันใดเข้าใจผิดเป็นแน่ ท่านพี่ให้หมอมาตรวจอีกครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ?” หานว่านอี้ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะร้องขอให้สามีรับฟังนางสักนิด
“พี่หญิง ท่านจะหลอกตนเองไปทำไม? มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าท่านพี่นั้นไม่สามารถมีบุตรได้? ใคร ๆ เขาก็รู้ เพราะแบบนั้นท่านพี่จึงจะรับหลานของข้ามาเป็นลูกบุญธรรม มาเป็นลูกของข้ากับท่านพี่”
“พี่หญิงก็ทราบเรื่องนี้ แล้วเหตุใดจึงทำให้ตนเองตั้งครรภ์ขึ้นมาเล่า” หยูจิวซือเอ่ยเยาะเย้ยหานว่านอี้อีกครั้ง
ใช่แล้ว ทุกคนในจวนนี้ต่างก็รู้ว่าไต้เว่ยไม่สามารถมีบุตรได้ แต่หานว่านอี้ไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดนางจึงตั้งครรภ์ นางรักและซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว จะมีเหตุอันใดให้นางต้องทรยศและสร้างความอัปยศให้ตนเองกันเล่า
เรื่องในวันนี้มันเกิดขึ้นเพราะนางรู้สึกอ่อนเพลียและเป็นลมในระหว่างที่กินมื้อเช้าตามปกติ ไต้เว่ยจึงได้เชิญหมอมาตรวจ แล้วพวกเขาก็พบความจริงที่น่าตกใจว่านางนั้นตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นดังที่ทราบ
นางกำลังถูกสามีกล่าวหาอย่างร้ายแรง หาว่านางสวมหมวกเขียว แต่นางจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใด นางไม่รู้ ไม่รู้แล้วจริง ๆ
“หานว่านอี้ ถือว่าข้าปรานีเจ้ามากแล้วที่ไม่ส่งเจ้าไปที่ศาล...”
“นับจากนี้เจ้าไม่ใช่ฮูหยินน้อยของตระกูลไต้อีกต่อไป นี่เป็นหนังสือหย่า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าอยู่ที่นี้อีกต่อไป และสมบัติทุกชิ้นที่ตระกูลไต้ได้มอบให้กับเจ้า ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าหยิบฉวยเอาไปเช่นกัน”
ไต้เว่ยโยนหนังสือหย่าใส่หน้าหานว่านอี้แล้วก็เดินจากไป จากนั้นนายท่านไต้และฮูหยินใหญ่ก็เดินตามบุตรชายออกไปเช่นกัน
“พ่อบ้าน อย่าลืมไปตรวจดูด้วยล่ะว่าพี่หญิง... ไม่สิ อย่าลืมไปตรวจดูด้วยล่ะว่านางได้เอาของมีค่าอันใดติดตัวไปด้วยหรือไม่” หยูจิวซือเอ่ยสั่งการพ่อบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินเข้ามาหาหานว่านอี้ที่ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วนั่งนิ่งอยู่กับพื้น
“หานว่านอี้... สุดท้ายเจ้าก็มีวันนี้”
“แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะต่อไปข้าจะดูแลท่านพี่แทนเจ้าเอง”
หยูจิวซือกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของหานว่านอี้ก่อนจะยืดตัวกลับเดินหลังตรงออกจากห้องโถงกินข้าวไป แล้วทิ้งให้หานว่านอี้นั่งร้องไห้น้ำตาไหลราวกับจะเป็นสายเลือดอยู่อย่างนั้นร่วมครึ่งชั่วยาม
ตัวพ่อบ้านนั้นเคยทำงานรับใช้ฮูหยินน้อยของจวนมาก่อน เขาจึงไม่ได้เชื่อแบบคนอื่นว่าฮูหยินน้อยจะประพฤติตนเช่นนี้ แต่ด้วยเขาเป็นเพียงบ่าวและไม่สามารถมีปากเสียงอันใด เขาจึงทำได้มากสุดแค่เอ่ยเตือนนางออกไปเสียงเบาเมื่อเห็นว่ายืนรอนานพอสมควรแล้ว
“ฮู... เอ่อ แม่นางหาน ท่านคงจะไม่นั่งอยู่เช่นนี้ไปตลอดใช่หรือไม่?”
“ข้าขอแนะนำให้ท่านรีบเก็บข้าวแล้วออกไปจากที่นี้โดยเร็วเถิด ก่อนที่นายน้อยจะเปลี่ยนใจแล้วไปแจ้งเรื่องของท่านกับทางการ”
“ไปเถอะขอรับ ข้าจะช่วยแม่นางเอง” หานว่านอี้ได้ยินเสียงเอ่ยเตือนเช่นนั้นจึงได้สติ
ใช่แล้ว นางจะมานั่งอยู่ที่นี่ไม่ได้ นางยังตายไม่ได้เพราะนางยังมีลูกน้อยให้ต้องดูแล ถึงสุดท้ายแล้วไต้เว่ยจะไม่ยอมรับลูกของนาง แต่เด็กคนนี้ก็ยังคงเป็นลูกของนางอยู่ดี เช่นนั้นแล้วนางก็จะดูแลเขาให้ดีที่สุด
“ขอบคุณท่านพ่อบ้าน” หานว่านอี้ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วพยุงตัวเองขึ้นเดินตามพ่อบ้านกลับไปที่ห้องของตน
นางเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดและเครื่องประดับอันน้อยนิดที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังอยู่กับบิดามารดา ของมีค่าทั้งหลายที่อดีตสามีมอบให้นางไม่หยิบมาแม้แต่ชิ้นเดียว และเมื่อเก็บข้าวของทุกอย่างครบ นางจึงเดินตามพ่อบ้านออกมาจากเรือน
“รถม้างั้นหรือ... พ่อบ้าน ข้าคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน ข้าไม่มีตำลึงจ่ายค่ารถม้า” หานว่านอี้ปฏิเสธที่จะใช้บริการรถม้าที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ซึ่งจอดรอไว้อยู่หน้าเรือน
“แม่นางหาน รถม้านี้ฮูหยินใหญ่สั่งให้ข้าเรียกมาเองขอรับ เรื่องค่าจ้างฮูหยินใหญ่จัดการเรียบร้อยแล้ว แม่นางอยากให้รถม้าไปส่งที่ใดเขาจะไปส่งให้ถึงที่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนั้นเลย” พ่อบ้านเอ่ยตอบออกไปเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นหรอกหรือ... ฝากขอบคุณท่านแม่--- เอ่อ ฮูหยินใหญ่ด้วย ข้าขอลา” หานว่านอี้คำนับพ่อบ้านครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปทางเรือนหลักของตระกูลไต้แล้วคำนับลงอีกรอบอย่างนึกขอบคุณในความกรุณาที่นี่มีต่อนางตลอดมาก่อนจะขึ้นรถม้าจากไป
โดยที่นางไม่ได้รับรู้เลยว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงากับผู้ที่อยู่อาศัยในตระกูลใหญ่หลังนี้ ได้มีไต้เว่ยถือไหสุรายืนมองอดีตฮูหยินของตนเองจนรถม้าวิ่งลับสายตาไป
“นายน้อย ส่งแม่นางหานขึ้นรถม้าไปแล้วขอรับ” พ่อบ้านเดินกลับเข้ามารายงานให้เจ้านายตนเองรับทราบ เพราะความจริงแล้วเป็นนายน้อยไต้เว่ยต่างหากที่จัดการเรื่องรถม้าให้กับอดีตฮูหยินของตน
“คนขับรถม้าไว้ใจได้หรือไม่” ไต้เว่ยเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
“เป็นเจ้าประจำที่เรียกใช้อยู่บ่อย ๆ ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี"
ไต้เว่ยได้ยินเช่นนั้นก็โบกมือไล่พ่อบ้านออกไป ส่วนตัวเขาก็เดินกลับเข้าไปยังห้องนอนที่ครั้งหนึ่งเขาได้เคยกอดก่าย และใช้ชีวิตร่วมกันกับนางอย่างมีความสุข แต่จากนี้จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“อี้เอ๋อร์ เหตุใดกัน ทำไมเจ้าจึงใจร้ายทำร้ายข้าเช่นนี้ทั้งที่ข้ารักและทะนุถนอมเจ้ามาเสมอ ทำไม…”
ไต้เว่ยเอ่ยรำพันออกมาก่อนจะยกไหสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด และเมื่อสุราในไหไม่เหลือสักหยดเขาจึงปาไหสุราไปกระทบกับฝาผนังห้องอย่างไม่ไยดี เหมือนกับคำถามของไต้เว่ยที่หานว่านอี้คงไม่ได้ยิน คำถามของไต้เว่ยเองก็คงไม่ได้รับคำตอบเช่นกัน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?