ตอนที่ 4. ยอมรับความช่วยเหลือ

อานเมิ่งเหยาฟื้นขึ้นมาเป็นครั้งที่สองในตอนที่ตะวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า สอบถามจากคนที่ยกเอาอ่างล้างหน้ามาให้เธอในตอนนั้นจึงได้ความว่า

ที่นี่คือโรงหมอของเมืองผู้จิ้น เมื่อวานเธอถูกชายหนุ่มคนหนึ่งพามาส่งที่โรงหมอแห่งนี้เพราะถูกทำร้ายร่างกายมา ท่านหมอจึงให้นอนพักรอดูอาการหนึ่งคืน ส่วนคนที่มาส่งก็พักอยู่ที่โรงหมอนี้ด้วยแต่คนละห้องกัน

อานเมิ่งเหยาเพียงทำตามที่หญิงคนนั้นบอก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นหญิงคนนั้นก็ออกไปจากห้อง ปล่อยให้เธอนอนอยู่บนเตียงคนเดียว อานเมิ่งเหยาที่พอมีสติจึงได้พิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง

เธอจำได้ว่าตนเองถูกรถชนหลังจากที่ได้ใบหย่าจากสามีที่ไม่ได้เรื่องคนนั้น หวังเดินทางกลับบ้านเกิดแต่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับบ้านเกิดจริง แต่เกิดใหม่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย อานเมิ่งเหยาได้รับรู้ถึงเรื่องราวของร่างนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในครั้งแรกในตอนใกล้รุ่งไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่สามารถพูดคุยกับหญิงคนนั้นได้

เมื่อหายตกใจแล้วจึงได้แต่ยอมรับกับตนเอง และบอกลูกน้อยในครรภ์เบา ๆ ว่าขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ฝันของเธอเป็นจริง ถึงแม้ว่าชีวิตของหานว่านอี้จะเหมือนกับตนเอง เธอจะรักและดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด

“หานว่านอี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวล ฉันจะรักและดูแลเด็กคนนี้อย่างดี ขอให้เธอไปสู่สุขคติ” อานเมิ่งเหยาหลับตาตั้งจิตภาวนาถึงวิญญาณของร่างนี้ พร้อมกับบอกตนเองว่า

อานเมิ่งเหยานั้นได้ตายไปแล้ว ต่อไปข้าคือ หานว่านอี้

ในยามซื่อ (9.00 – 10.59น.) ชุยเทียนหนิงก็กลับมาจากข้างนอก เขาไปสอบถามถึงอาการของคนไข้ที่ตนเองพามาส่งเมื่อวาน เมื่อได้รับคำตอบว่านางฟื้นแล้วอาจารย์หนุ่มจึงได้เดินตามหมอเจ้าของโรงหมอแห่งนี้ไปยังห้องพักฟื้น

“นางพักรักษาตัวอยู่ห้องนี้แหละ ข้าจะตรวจนางสักครู่ เมื่อข้าตรวจเสร็จแล้วคุณชายค่อยเข้าไปก็ไม่สาย” เจ้าของโรงหมอเอ่ยขึ้นพลางเคาะห้องไปสามที เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยอนุญาตจึงได้เดินเข้าไป

“แม่นางรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านหมอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีเมตตา

“ข้ารู้สึกเจ็บคอเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

หานว่านอี้เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย โชคดีที่ได้ความทรงจำของร่างนี้มารวมทั้งการพูดจาและภาษาของที่นี่ เพียงแค่คิดสิ่งที่พูดออกมาก็ดูลื่นไหลกลมกลืนไปกับยุคสมัยนี้ได้ไม่ยากเย็น อาจจะลำบากในตอนแรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เจ้าปวดท้องหรือไม่”

“ไม่เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นท่านหมอก็สอบถามอาการรวมทั้งตรวจร่างกายของหานว่านอี้อีกรอบ ทางด้านชุยเทียนหนิงเพียงยืนรออยู่หน้าห้องพักนั้นจนเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของโรงหมอจึงได้เดินเข้าไป

หานว่านอี้ที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้ว นางเงยหน้ามองผู้ที่มาใหม่ เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนหนึ่ง อายุก็ไม่มากนัก ชุยเทียนหนิงเมื่อเข้ามาแล้วจึงได้ไปนั่งตรงเก้าอี้ตรงกลางห้องที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงที่หญิงหม้ายนั่งอยู่

“แม่นาง คุณชายท่านนี้เป็นคนช่วยเหลือเจ้าไว้ ทั้งยังนำเจ้ามาส่งที่โรงหมอแห่งนี้” ท่านหมอเอ่ยบอกหานว่านอี้

“ท่านหมอรบกวนรั้งอยู่ในห้องนี้สักครู่ได้หรือไม่ ชายหญิงมิสมควรอยู่ด้วยกันตามลำพัง” เป็นชุยเทียนหนิงที่เอ่ยรั้งท่านหมอไว้ เมื่อหมอชราเห็นว่าทั้งสองคนอาจจะต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อได้ยินคำร้องขอเช่นนั้นท่านหมอจึงพยักหน้ารับและไปนั่งลงตรงเก้าอี้อีกตัว ทำตนเสมือนเป็นคนใบ้เพียงเท่านั้น

“เรื่องที่เกิดขึ้น...”

หานว่านอี้เอ่ยออกไปยังไม่ทันได้จบประโยคก็ต้องหยุดเสียงลงเพราะไม่สามารถจะพูดอันใดออกไปอีกได้

“เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลยแม่นาง ตอนนี้เจ้าและบุตรในครรภ์ปลอดภัยแล้ว” บุรุษหนุ่มกล่าว

“หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ข้าคงเหลือเพียงชื่อ ขอบคุณท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องขอบคุณอันใดไปหรอกแม่นาง ข้ามิได้นับว่าเป็นบุญคุณอะไร สตรีบอบบางซ้ำยังตั้งครรภ์แบบเจ้าไม่ควรจะเดินทางตามลำพัง เจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ใดหรือ ส่วนข้านั้นกำลังเดินทางไปยังเมืองผาซาน”

“ข้านั้นถูกอดีตสามีขอหย่าและกำลังเดินทางไปยังเมืองผาซาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของข้าเจ้าค่ะ” หานว่านอี้เอ่ยตอบไปตามความทรงจำที่ได้รับมา

“โอ้! ช่างดียิ่ง จะดีหรือไม่ถ้าข้าขอเสนอให้เจ้าร่วมเดินทางไปด้วยกันกับข้าจนถึงเมืองผาซาน”

ชุยเทียนหนิงกล่าวชักชวน เขาไม่รู้ว่านางจะยังกลัวอยู่หรือไม่ อาจารย์หนุ่มรู้สึกถูกชะตาต้องใจและสงสารหญิงตรงหน้าตั้งแต่มองคราแรก ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้สติอยู่ก็ตาม เขาเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา เกิดมาอายุป่านนี้ยังไม่เคยมีความรักแม้แต่ครั้งเดียว แต่พอได้มองใบหน้าเล็กนั้นหัวใจของเขามันก็เต้นเร็วและแรงคล้ายกับกลองรบเสียอย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่เขาอยากจะช่วยเหลือและปกป้องหญิงหม้ายคนนี้ตั้งแต่ตัดสินใจอุ้มร่างบางมาส่งยังโรงหมอและอยู่ค้างคืนที่นี่แล้ว

“เทียนหนิง ข้าชื่อชุยเทียนหนิง” บุรุษหนุ่มกล่าว “ข้าเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาฝูเถา”

“ข้าขอขอบคุณท่านชุยเทียนหนิงที่เมตตาช่วยเหลือ”

ทางด้านหานว่านอี้หลังจากได้ยินชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยแนะนำตนเอง ทั้งยังเสนอความช่วยเหลือนางจึงได้พิจารณาชายตรงหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

เขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะคล้ายบัณฑิต ก็ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะเขาแนะนำตนเองว่าเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ชุดที่สวมใส่นั้นก็มีสัญลักษณ์ของสำนักศึกษาฝูเถาติดอยู่ด้วย อายุไม่น่าเกิน 30 ปี ผิวพรรณเรียบเนียน ผิวขาวดังหิมะ รูปร่างสง่างาม ท่าทางสุขุมนุ่มนวล

จากความทรงจำนางจำได้ว่าที่เมืองผาซานมีสำนักศึกษาฝูเถาจริง เป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของเมือง

“คุณชายขอบคุณที่เอ่ยชวนข้าให้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน แต่ว่าจะเป็นการรบกวนคุณชายเกินไปหรือไม่” หานว่านอี้หลังจากที่คิดพิจารณาอยู่สักครู่จึงได้เอ่ยถามออกไป

“มิเป็นการรบกวนแต่อย่างใด ข้านั้นยินดียิ่ง”

“เช่นนั้นต้องรบกวนคุณชายแล้ว หานว่านอี้คือชื่อของข้า ยินดีที่ได้รู้จักคุณชายชุยเจ้าค่ะ” หานว่านอี้เอ่ยตกลงที่จะร่วมเดินทางไปกับชุยเทียน หนิงอย่างไม่มีสิ่งใดให้สงสัยในตัวของอาจารย์หนุ่มตรงหน้า นางก็ให้นึกแปลกใจในความไว้ใจบุรุษตรงหน้าอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่นางเชื่อในความรู้สึกของตนเอง

การที่ถูกอดีตสามีปาใบหย่าใส่หน้า ไม่มีสิ่งใดติดตัวมาแม้แต่น้อย นั่นก็ยากลำบากมากพอแล้ว ถ้าหากว่าจะมีสิ่งใดที่เลวร้ายยิ่งกว่าเกิดขึ้น นางก็ขอปล่อยให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถิด

เมื่อหานว่านอี้ตกลงร่วมเดินทางไปกับชุยเทียนหนิง ท่านหมอชราจึงเอ่ยสนับสนุนไปสองสามคำ

“แม่นาง เจ้าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับคุณชายท่านนี้ เจ้ากำลังตั้งครรภ์และอาจจะเกิดอาการแพ้ท้อง แล้วเจ้าก็ต้องการคนดูแลจากเมืองผู้จิ้นไปยังเมืองผาซานก็ใช้เวลาหลายวัน การมีคนร่วมเดินทางไปด้วยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านหมอ ข้าซาบซึ้งในบุญคุณของท่านทั้งสองอย่างมาก”

“แม่นางหาน หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ” ชุยเทียนหนิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงตรงหน้าดูมีอาการแข็งแรงขึ้นมากแล้ว

“เจ้าค่ะ” หานว่านอี้รับคำแล้วจึงเดินตามอาจารย์หนุ่มไปขึ้นรถม้าของสำนักศึกษาฝูเถา ชุยเทียนหนิงได้ชำระเงินค่ารักษาไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จึงสามารถออกเดินทางได้เลย โดยที่ชุยเทียนหนิงช่วยหานว่านอี้ขึ้นไปยังรถม้าก่อนแล้วจึงส่งตนเองตามขึ้นไป ซุนเล่อได้กลับมาสมทบกับชุยเทียนหนิงตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หลังจากที่จ้างม้าให้มาส่งที่เมืองผู้จิ้นแห่งนี้ ซึ่งสาเหตุที่เลือกม้าแทนที่จะเป็นรถม้าเนื่องจากการเดินทางที่ไวกว่า และเมืองผู้จิ้นกับเมืองหลวงก็ห่างกันแค่ไม่ถึงวัน นี่จึงเป็นสาเหตุอีกเหตุผลหนึ่งที่ชุยเทียนหนิงให้หานว่านอี้พักรักษาตัวที่โรงหมอหนึ่งคืน เพื่อรอซุนเล่อคนขับรถม้าของตนนั่นเอง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ