ตอนที่ 2. การเดินทางแสนเศร้า

เมื่อวานหลังจากที่ออกมาจากตระกูลไต้หานว่านอี้ก็เข้าพักที่โรงเตี้ยมในเมืองหลวงหนึ่งคืน เช้านี้จึงได้ออกเดินทางเพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของตนเองที่เมืองผาซาน บ้านที่นางจากมาตั้งแต่อายุยังน้อย บ้านที่มีความทรงจำของตนเองกับบิดามารดาก่อนที่พวกท่านจะจากไป หลังจากนั้นนางจึงได้ย้ายมาอยู่ที่ตระกูลไต้จนได้แต่งงานเป็นฮูหยินเอกของไต้เว่ย

หานว่านอี้เดินทางมาได้สองชั่วยามแล้ว ภายในรถม้า หานว่านอี้นั่งมองทิวทัศน์ด้านนอกด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น ความเปล่าเปลี่ยวถาโถมโลดแล่นเข้าเล่นงานจิตใจของนางอย่างโหมกระหน่ำ สายธารน้ำตาเอ่อนองล้นกรอบใบหน้าอย่างน่าเวทนา จิตใจของสตรีนางนี้จวนเจียนจะแหลกสลายลงเต็มทีแล้ว แต่ก็ต้องพยายามประคับประคองตนเองเอาไว้เพื่อบุตรในครรภ์ที่ยังไม่ทันได้ลืมตามาดูโลก

“แม่ขอโทษนะ ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก...” หานว่านอี้ลูบท้องของตนเองเบา ๆ น้ำเสียงของนางทุก ๆ การเอื้อนเอ่ยเคล้าคลอไปด้วยความเศร้าโศกอย่างสุดหัวใจ

การเดินทางโดยรถม้าแม้จะรวดเร็ว แต่ก็ทุลักทุเลสำหรับสตรีมีครรภ์อยู่พอสมควร การกระทบกระเทือนของทางที่ขรุขระทำให้หานว่านอี้นั้นรู้สึกไม่สบายตัวสักเท่าไหร่ ท้องของนางปวดหน่วงอยู่เป็นพัก ๆ เมื่อยามที่ล้อของรถม้าตกหล่ม ศีรษะหรือก็เวียนหมุนพะอืดพะอมไปหมด

“ชะ...ช้าก่อน ได้โปรด หยุดรถม้าให้ข้าที...” หานว่านอี้เอ่ยออกไป เมื่อนางรู้สึกว่าเริ่มที่จะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้จะไม่ได้กินสิ่งใดมาก่อนออกเดินทางเลยแม้แต่นิด แต่สำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์แล้ว การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้นางอาเจียนได้ ร่างกายที่อ่อนไหวต่อสิ่งเร้าทุกสิ่งรอบข้างเช่นนี้ ทำให้หานว่านอี้ยิ่งดูน่าสงสารจับใจ

“อุบ แหวะ!!” ทันทีที่รถม้าจอดสนิทลง ณ ศาลาที่พักริมทาง หานว่านอี้ก็พรวดพราดลงจากรถม้าไปในทันที นางอาเจียนออกมาโดยไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาช่วยลูบหลัง ดวงตาหรือก็เริ่มพร่าเบลอ แสบร้อนลำคอและทรวงอกไปหมด

“ท่านเป็นอันใดหรือไม่ แม่นาง” คนขับรถม้าเอ่ยถาม ร่างของชายฉกรรจ์เดินตามหานว่านอี้มาด้วยสายตาที่มีท่าทีเป็นห่วง

“ขออภัยท่านด้วยที่ทำให้ต้องล่าช้า แต่ข้าคิดว่าข้าคลื่นเหียนเกินกว่าจะเดินทางต่อไปได้ ขอข้าพักสักหน่อยจะได้หรือไม่” หานว่านอี้เอ่ย

“ได้สิขอรับ เช่นนั้นแม่นางขึ้นไปนั่งพักบนรถม้าเถิด เอนกายให้หายเวียนหัวสักหน่อยแล้วเดี๋ยวข้าจะปลุกท่านเอง ตอนนี้ตะวันตรงหัว แดดกำลังแรงไม่ค่อยดีกับสตรีตั้งครรภ์นัก” คนขับรถม้ากล่าว

หานว่านอี้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สิ่งที่นางทำมีเพียงพยักหน้ารับอีกฝ่าย ยามนี้นางเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียเกินกว่าที่จะกล่าวอะไรต่อไปได้แล้ว

“ขออภัยแม่นาง คงต้องล่วงเกินแล้ว”

คนขับรถม้าเอ่ยขึ้นก่อนจะช่วยประคองร่างระหงย่างก้าวเดินขึ้นไปบนรถม้าอย่างลำบาก หานว่านอี้นั่งลงที่เดิมตรงที่นางเคยนั่งตั้งแต่เดินทางออกมาจากเมืองอันเป็นที่อยู่ของตระกูลไต้ ก่อนจะเสสายตาที่จวนเจียนจะปิดลงมองไปยังคนขับรถม้าที่ท่าทีเป็นมิตรก่อนหน้านั้นหายไปจนหมดสิ้น

“ท่านไม่ลงไปหรือ”

“อากาศร้อนอบอ้าวเยี่ยงนี้ แม่นางผู้ใจดีจะไม่มีเมตตาให้ข้าอยู่บนนี้ด้วยสักหน่อยหรือขอรับ” อีกฝ่ายเอ่ยตอบด้วยสายตาลุกลี้ลุกลน ทำให้หานว่านอี้รู้สึกถึงภัยร้ายที่กำลังคุกคามนางจากชายตรงหน้านี้

“ข้าว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ อีกอย่างเจ้าควรไปพักที่ศาลาริมทางมากกว่า”

“จะมีอันใดไม่เหมาะหรือขอรับ ท่านมิใช่ฮูหยินของนายน้อยไต้แล้ว ไร้ซึ่งยศศักดิ์ เป็นเช่นคนธรรมดาระดับเดียวกับข้า อย่าทะนงตัวเกินไปนักเลยแม่นาง” วาจาที่เคยนอบน้อมพินอบพิเทายามนี้มันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นว่าจาส่อเสียดระคนดูแคลน

“เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”

“เจ้าเองก็หน้าตาจิ้มลิ้มน่าเชยชม ต้องอุ้มท้องไปอยู่ชนบทสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ลองอ้อนวอนข้าดูสักหน่อยหรือ เผื่อว่าข้าจะใจดีรับเจ้ามาเป็นฮูหยินและเลี้ยงดูให้อยู่รอด” คนขับรถม้าเอ่ยด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงเองก็แข็งขึ้นจนหานว่านอี้สัมผัสได้

ภายในใจของบุรุษผู้นี้คาดหวังไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ เขาคิดว่าหานว่านอี้นั้นไร้ผู้คุ้มกะลาหัว ทั้งหน้าตายังสะสวย ร่างกายสะโอดสะองน่าเชยชม ต่อให้ข่มเหงหรือขืนใจนาง หญิงม่ายตั้งครรภ์เช่นนี้ก็คงไร้หนทางสู้ จึงนึกลองใช้วาจาหว่านล้อมดูก่อน เพราะหากนางยอมแต่โดยดีเขาจะได้ภรรยาแสนสวยมาเคียงคู่กาย

“ไม่! เจ้าอย่าได้แม้แต่จะคิดล่วงเกินข้า แม้ตัวข้าจะถูกปลดจากตำแหน่งฮูหยินเอกแล้ว แต่เจ้าก็ควรจะรู้ไว้ว่าอะไรที่ไม่ควรแตะต้อง” หานว่านอี้ไร้เรี่ยวแรงจะหลีกหนี สิ่งที่นางทำได้ดีตอนนี้คงเป็นการเอ่ยเรียกสติคนตรงหน้า

“เจ้าเองก็ดูถูกข้าสินะ! คิดว่าข้าเป็นเพียงแค่คนขับรถม้า มิคู่ควรกับสตรีสูงส่งเช่นเจ้า!”

“ไม่!! ข้าหาได้คิดเช่นนั้น ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด... ฮึก” หานว่านอี้พยายามกระเสือกกระสนร่างเพื่อหนีจากชายฉกรรจ์ที่กำลังฉุดรั้งข้อมือของนางเอาไว้

ฝ่ามือหยาบกร้านบีบลำคอของนางก่อนจะกดลงบนที่นั่งของรถม้า จนร่างกายของหานว่านอี้นอนแผ่ราบลงไป

“หญิงม่ายที่สวมหมวกเขียวให้แก่สามี คงมิมีผู้ใดต้องตาสนใจแล้ว ตอนนี้สถานะของเจ้ามันต่ำเสียยิ่งกว่าไพร่ในเรือนเสียอีก เช่นนั้นการเป็นเมียข้าก็คงไม่ลำบากลำบนเท่าใดนัก!”

“กรี๊ดดด!!”

เมื่อว่าจบ คนขับรถม้าก็เริ่มทึ้งอาภรณ์ของหานว่านอี้ออกไป นางดิ้นรนต่อสู้ภัยร้ายอย่างสุดกำลัง แต่ก็มิอาจสู้แรงของเขาได้ สติเริ่มล่าถอยพร่าเลือนลงเรื่อย ๆ ฝ่ามือที่กำรอบลำคอของหานว่านอี้เองก็เริ่มจะออกแรงมากขึ้น

แต่แล้วก็เหมือนดั่งฟ้าลิขิตมาให้นี่เป็นวันสุดท้ายของชีวิตนาง เพราะอากาศหายใจเริ่มหมดลง ผนวกกับร่างกายที่อ่อนแอทำให้หานว่านอี้หมดสติคามือของคนขับรถม้า ความเป็นความตายจ่ออยู่ที่คอของนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เฮ้ย! ข้าไม่เกี่ยวนะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า... ” คนขับรถม้าเมื่อได้สติก็ถึงกับตกใจ เขาไม่คิดว่าการออกแรงบีบเท่านี้จะทำให้หานว่านอี้สิ้นใจได้ จึงลองเอาหูแนบอกและเอามือไปจ่อที่จมูกของนางเพื่อตรวจดู

ไร้สิ้นสัญญาณใด ๆ ที่จะบ่งบอกได้ว่าแม่นางหานยังคงมีชีวิตอยู่ ลมหายใจนั้นสะดุดขาดห้วงและหยุดไป ดวงตาที่พร่ามัวค่อย ๆ หลับลงอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งมันปิดสนิท ความผิดที่คนขับรถม้าได้ก่อทำให้เขานึกหวาดกลัวผลกระทบที่จะตามมา จึงได้คิดจะนำร่างของหานว่านอี้ไปฝังเสียเพื่อกลบเรื่องราวให้สนิท

อย่างไรก็ไร้ผู้คนที่นี่อยู่แล้ว มีเพียงแค่เขาและร่างอันไร้วิญญาณของแม่ม่ายสาว คนขับรถม้าเริ่มต้นแบกร่างของหานว่านอี้ลงจากรถม้า เขารีบร้อนเสียจนลืมตรวจตราให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่แล้วจริง ๆ หลงลืมไปว่าที่ตรงนี้เป็นศาลาที่พักริมทาง มีโอกาสที่คนเดินทางผ่านไปมาจะแวะหยุดพักได้ตลอดเวลา

“นั่นเจ้ากำลังจะทำอะไรนาง” เสียงกังวานกัมปนาทเอ่ยขึ้น บุรุษผู้หนึ่งวิ่งเข้ามากระชากร่างของหานว่านอี้เข้าไปไว้ในอ้อมกอดก่อนที่ลูกน้องของเขาจะเข้าไปจับตัวคนขับรถม้าเอาไว้

“มะ ไม่นะ! ข้า...ข้าแค่จะพานางลงไปหลบร้อน นางเป็นลมแดด...” คนขับรถม้าโป้ปดออกไป แต่หารู้ไม่ว่าชุยเทียนหนิงที่เป็นถึงอาจารย์ของสำนักศึกษานั้นไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดจะยอมเชื่อเรื่องพรรค์นี้ได้

เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนแล้วแม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็มากพอที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรีในอ้อมแขนของเขา และท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ กับรถม้าที่โคลงเคลงไปมาระหว่างที่รถม้าของเขากำลังจอดเพื่อแวะพักตรงศาลาริมทางนี้เช่นกัน

“คุณธรรมในใจของเจ้าคงเลือนลางหายไปจนทำให้จิตใจและดวงตามืดบอดซ้ำหูก็ยังหนวกจนไม่รู้ตัวเลยสินะ”

“ไม่!! ข้าไม่ได้ทำอะไรนาง!”

“แล้วอาภรณ์ที่หลุดรุ่ยนี่เล่า! เจ้าจะว่าอย่างไร รอบคอของนางก็มีรอยแดง ซึ่งข้าคาดเดาได้ว่ามันน่าจะพอดีกับรอยมือของเจ้า ซุนเล่อ เจ้าเอาตัวมันกลับไปเมืองหลวงเสีย แล้วส่งให้ทหารรีดเค้นความจริง ศาลย่อมเที่ยงธรรมและรู้วิธีเปิดปากคนโป้ปดเป็นแน่ ข้าจะพาแม่นางผู้นี้ไปหาหมอในเมืองข้างหน้าเอง นางต้องได้รับการรักษาโดยไว”

ชุยเทียนหนิงเอ่ยสั่งการคนขับรถม้ากึ่งองครักษ์ของตนก่อนที่จะอุ้มหานว่านอี้เข้าไปนั่งยังรถม้าของสำนักศึกษาฝูเถาแล้วออกเดินทางไปยังเมืองข้างหน้าอย่างเร่งด่วนเพื่อส่งตัวหญิงที่นอนไม่ได้สติในรถม้าให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด

ทางด้านซุนเล่อ เขาหาเชือกมามัดมือมัดเท้าคนขับรถม้าใจทรามพร้อมกับยัดร่างของชายฉกรรจ์กลับเข้าไปในรถม้าของมัน ก่อนจะขับรถม้ามุ่งหน้ากลับเมืองหลวงเพื่อทำตามคำสั่งของชุยเทียนหนิง

ทางด้านคนขับรถม้าได้แต่ก่นด่าตนเองที่คิดน้อย ตัวมันเป็นหลานชายของเจ้าของรถม้าคันนี้ที่รับจ้างทั่วไป เมื่อวานท่านลุงไม่สบายแต่ว่าได้รับการว่าจ้างให้ไปส่งอดีตฮูหยินเอกของนายน้อยไต้เว่ย ท่านลุงไม่อยากเสียเงินไป มันจึงรับอาสามาขับรถม้าแทน สาวใช้ที่มาจ้างนั้นสนิทสนมกันดีกับท่านลุงจึงได้เล่าเรื่องราวให้ท่านลุงฟังแล้วมันก็ได้ยินโดยบังเอิญ

เมื่อได้เห็นอดีตฮูหยินเอกนายน้อยไต้เว่ย ซึ่งงดงามเป็นอย่างมาก ด้วยความคิดน้อยมันจึงคิดจะข่มเหงหญิงม่าย เพราะอย่างไรก็คงไม่มีปากเสียงไปร้องขอความเป็นธรรม ไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดกลายเป็นว่าตนเองพลั้งมือฆ่านางไปเสียได้ ถ้ากลับไปเมืองหลวงตนคงไม่พ้นติดคุก ท่านลุงต้องโกรธมันมากเป็นแน่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ