ตอนที่ 13: ไม่ยอมให้เข้าบ้าน

ตอนบ่ายอากาศอบอุ่นและแสงแดดส่องลงมาพอให้รู้สึกสบาย ๆ ลู่เจียวเตรียมเครื่องมือทำสวนไว้พร้อม หยิบจอบและเสียมขึ้นมาเพื่อเริ่มขุดดินเตรียมแปลงผักในสวนหลังบ้าน

หลังจากที่คิดมาหลายวัน เธอตัดสินใจว่าจะเริ่มปลูกผักเพื่อใช้เป็นอาหารและลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว ที่สำคัญกว่านั้นลู่เจียวอยากสอนเด็ก ๆ ให้รู้จักกับความรับผิดชอบและความพยายามในการทำงาน พวกเขาดูตื่นเต้นและเฝ้ารอดูว่าวันนี้เธอจะสอนอะไรต่อไป

“ซีซวน ชิงอี วันนี้เราจะปลูกผักกันนะ แม่จะสอนให้ลูกลองทำดู” ลู่เจียวบอกเด็ก ๆ ด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนตาเป็นประกายพร้อมที่จะเรียนรู้ทันที

ก่อนที่สามแม่ลูกจะได้เริ่มลงมือขุดดิน เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นจากถนนทางเข้าบ้าน เสียงนั้นแปลกไปจากที่เคยได้ยินในหมู่บ้าน และมันดังใกล้เข้ามาทุกที ลู่เจียวหยุดมือและหันไปมองทางเข้าบ้านด้วยความสงสัย เด็ก ๆ เองก็หยุดนิ่งและหันไปมองตาม

“เสียงรถยนต์?” ลู่เจียวพึมพำด้วยความสงสัย

เพราะในหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีรถยนต์วิ่งผ่านเข้ามาบ่อยนัก นอกจากรถขนส่งสินค้าหรือรถคนสำคัญที่อาจจะผ่านมาบ้าง เธอกับลูกเดินออกจากสวนหลังบ้าน มุ่งตรงไปที่หน้าบ้านเพื่อดูว่ารถคันนั้นเป็นของใคร

ลู่เจียวเดินมาถึงก็ได้เห็นรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ มีผู้ชายวัยกลางเดินลงมาจากรถและมองไปรอบ ๆ เขาผิวคล้ำ ใบหน้าเขาแสดงความเหนื่อยล้า แต่ท่าทางยังคงดูหนักแน่นและมั่นคง และพอหันมาเจอเธอก็รีบแนะนำตัวทันที

“สวัสดีครับ ผมชื่อหวังต้าจง เป็นหัวหน้าคนงานของกัวหยาง วันนี้ผมพาเขากลับบ้าน” หวังต้าจงบอกพร้อมกับชี้ไปที่ด้านหลังของเขา ซึ่งมีผู้ชายอีกสองคนกำลังช่วยหามร่างของใครสักคนลงจากรถตู้

ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้าใส่ลู่เจียวพร้อมกัน ผู้ชายร่างสูงที่กำลังถูกหามลงมา ความทรงจำของร่างนี้บอกว่าเขาคือกัวหยาง... สามีของเจ้าของร่างเดิม ใบหน้าของเขาซีดเผือด ขาข้างขวาพันด้วยผ้าพันแผลที่มีคราบเลือดซึมจางๆ เธอเห็นความเจ็บปวดฉายชัดบนใบหน้า แม้เขาจะพยายามซ่อนไว้ใต้รอยยิ้ม

"พี่หยาง..."

คำเรียกหลุดจากริมฝีปากของลู่เจียวอย่างอัตโนมัติ เสียงสั่นเครือด้วยความตกใจ ความรู้สึกประหลาดผสมปนเปไปหมด ทั้งความเป็นห่วงที่มาจากความทรงจำของร่างเดิม และความสับสนของวิญญาณที่เพิ่งมาอยู่ในร่างนี้

พวกเขากำลังจะหามพี่หยางเข้าบ้าน ลู่เจียวก้าวออกไปครึ่งก้าว ยกมือขึ้นจะเข้าไปช่วย แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ทุกคนต่างชะงัก

“หยุดนะ!”

เสียงตวาดแหลมสูงดังขึ้นจากด้านหลัง หวังต้าจงและคนที่หามร่างของกัวหยางหยุดชะงักกลางทาง พวกเขายังไม่ทันได้ก้าวผ่านประตูรั้วเข้ามาด้วยซ้ำ

ความเงียบอึดอัดแผ่ปกคลุมบริเวณนั้นในชั่วพริบตา ลู่เจียวรู้จักเสียงนั้นดี... เสียงของแม่สามี ผู้หญิงที่ไม่เคยมองเธอด้วยสายตาที่เป็นมิตร จางซูหลินก้าวเข้ามาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ

"ห้ามเข้ามาในบ้านนี้!" แม่สามีตะโกนพร้อมกับยืนขวางประตูบ้านไว้ราวกับเป็นกำแพง สายตาของนางจ้องมองกัวหยางด้วยความรังเกียจ

ความรู้สึกหลายอย่างปะทุขึ้นในอก ทั้งความโกรธและความสับสน ซีซวนและชิงอีรีบเดินมาหลบอยู่หลังผู้เป็นเงียบ ๆ หลังย่าของพวกเขาปรากฏตัว ทั้งสองคนไม่กล้าสบตาย่า นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขากลัวจางซูหลินมากแค่ไหน

“ทำไมล่ะ? ทำไมสามีของฉันถึงจะเข้าไปในบ้านตัวเองไม่ได้?” ลู่เจียวถามกลับไปเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของแม่สามี

“กัวหยางได้รับบาดเจ็บ เดินไม่ได้ เขาจะกลายเป็นภาระของบ้าน!” จางซูหลินตอบกลับพร้อมกับชี้มือไปยังร่างของกัวหยางที่ถูกหามอยู่

“ไหนจะต้องหาเงินมารักษา อีกอย่างจะเอาเงินจากไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน?” จางซูหลินพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน นางกอดอกและมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาที่แสดงความดูถูกอย่างชัดเจน

ลู่เจียวสูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมอารมณ์ รู้ดีว่าแม่สามีไม่เคยชอบเธอมาตั้งแต่แรก แต่การที่นางปฏิเสธไม่ให้ลูกชายที่เป็นลูกเลี้ยงเข้าบ้านในยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ... มันเกินกว่าที่ลู่เจียวจะทนได้

“นั่นเป็นเรื่องของครอบครัวฉัน ฉันจะจัดการเอง!” ลู่เจียวตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มองแม่สามีตรง ๆ โดยไม่หลบสายตา นี่คือจุดที่เธอต้องยืนหยัดเพื่อครอบครัวแทนสามีที่ตอนนี้ไม่สามารถช่วยเหลือได้

หวังต้าจงและผู้ชายสองคนที่หามร่างของกัวหยางทำหน้าลำบากใจ พวกเขาหันมามองเธอและแม่สามีอย่างลังเล เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าไม่ดี พวกเขาจึงค่อย ๆ วางร่างของกัวหยางลงกับพื้นดินอย่างระมัดระวัง ใบหน้าของกัวหยางซีดเซียวจากความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

หวังต้าจงยืนอยู่ข้าง ๆ ก้มมองลูกน้องด้วยสีหน้าเสียใจและเห็นใจ ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันมาหาพวกเธอ

“กัวหยาง ฉันคงต้องกลับแล้ว” หวังต้าจงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและจริงใจ “หวังว่านายจะฟื้นตัวไวๆ ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นนะ ฉันทำได้แค่นี้แล้วจริงๆ"

“ขอบคุณมากนะครับหัวหน้า ขอบคุณที่ช่วยผมทุกอย่างมาตลอด” กัวหยางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบกลับเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ฝืนออกมา

หวังต้าจงพยักหน้าและเดินกลับไปขึ้นรถ เขาโบกมือลาอีกครั้งก่อนที่รถจะแล่นจากไป ทิ้งให้พวกครอบครัวของเธอเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตึงเครียดนี้ต่อไป

กัวหยางเงยหน้าขึ้นมองแม่เลี้ยงของเขา ดวงตาฉายแววโกรธ ไม่พอใจและผิดหวังในคราวเดียวกัน ลู่เจียวไม่เคยเห็นเขาแสดงอารมณ์รุนแรงเช่นนี้มาก่อน น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขณะถามออกไป

“แล้วเงินเกือบสองพันหยวนที่ผมส่งกลับมาบ้านทุกเดือนล่ะ หายไปไหนหมด? ตอนนี้ผมต้องใช้เงินนั้นเพื่อรักษาตัวเอง!”

จางซูหลินปฏิเสธทันที นางส่ายหน้าและทำหน้าไม่พอใจ ตอบลูกเลี้ยงเสียงแข็ง “เงินทั้งหมดไม่มีแล้ว มันหมดไปกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของบ้าน”

“หมดแล้ว?” กัวหยางทวนคำพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ เสียงของเขาสั่นด้วยความโกรธที่พยายามกลั้นไว้

“ผมส่งเงินกลับมาให้บ้านทุกเดือน มากพอที่จะเลี้ยงดูลูก ๆ และครอบครัวได้สบาย แต่ตอนนี้แม่บอกว่าเงินนั้นหมดไปแล้ว? แม่ใช้มันไปกับอะไร?”

แม่สามีไม่ตอบคำถามนั้นทำเพียงแต่หลบสายตาของกัวหยาง และทำท่าไม่สนใจในสิ่งที่เขาถาม แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นคือการมาถึงของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เสียงรถตู้ที่แล่นจากไปดึงความสนใจของชาวบ้าน พวกเขาเริ่มทยอยเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ลู่เจียวได้ยินเสียงฮือฮาและซุบซิบนินทาดังขึ้น ในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้ เหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้ย่อมเรียกความสนใจจากทุกคนได้ไม่ยาก ยิ่งเมื่อเห็นสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ชาวบ้านก็ยิ่งสนใจใคร่รู้

“เกิดอะไรขึ้น?” ชาวบ้านบางคนถามขึ้นขณะที่มองดูด้วยความสงสัย

ลู่เจียวมองไปยังสามีที่นอนเงียบอยู่บนพื้น แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ เธอรู้ดีว่าเขาคงไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในหมู่บ้าน แต่แม่สามีกลับทำให้ทุกอย่างยากขึ้น

“แม่ครับ” กัวหยางพยายามควบคุมเสียงของเขา แม้ว่าจะเจ็บปวดจากแผลที่ขา “ผมแค่ต้องการที่พักพิงในบ้านหลังนี้เท่านั้น ผมจะไม่เป็นภาระให้ใครหรอก ผมแค่ต้องการพักฟื้นและรักษาตัว แล้วผมจะกลับไปทำงานหาเงินต่อเอง”

จางซูหลินยังคงเงียบอยู่ แต่ท่าทางของนางไม่ได้แสดงออกถึงความเห็นใจใครเลยแม้แต่น้อย เธอรู้ว่าถ้าปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไป มันจะไม่เป็นผลดีกับครอบครัวของเธอแน่ ๆ

“พวกเราจะไม่ขออะไรจากแม่ค่ะ” ลู่เจียวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันและลูกจะดูแลพี่หยางเอง เราจะไม่ขอความช่วยเหลือจากแม่ในเรื่องนี้”

ลู่เจียวรู้สึกถึงมือเล็กๆ ของซีซวนและชิงอีที่เอื้อมมาจับมือแน่นขึ้น พวกเขากำลังมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัวและความสับสน

ชาวบ้านที่มุงดูอยู่เริ่มซุบซิบกันมากขึ้น บางคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับท่าทีของจางซูหลิน บางคนเริ่มแสดงความไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น

“นี่มันอะไรกัน ทำไมแม่แท้ๆ ถึงไม่ยอมให้ลูกชายเข้าบ้านได้ล่ะ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มชาวบ้าน ตามมาด้วยเสียงพึมพำเห็นด้วย

"ใช่ที่ลูกแท้ๆ ที่ไหนล่ะ" อีกเสียงแทรกขึ้น น้ำเสียงเย้ยหยัน "กัวเฉินที่เรียนหนังสืออยู่ที่ในเมืงโน้นสิ ลูกแท้ๆ ของนาง"

เธอสัมผัสได้ถึงร่างของสามีที่สั่นเทาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล หรือความเจ็บปวดในใจกันแน่ ขณะที่จางซูหลินยืนแข็งทื่อ ใบหน้าของนางเริ่มแดงก่ำด้วยความอับอาย

"แต่จากที่ฟังกัวหยางก็ทำงานหาเงินให้บ้านกัวนะ" เสียงของลุงจางดังแทรกขึ้น เขาเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน "นี่กัวหยางได้รับบาดเจ็บมาแท้ๆ ควรจะให้เขาพักฟื้นสิ ไม่ใช่ไม่ให้เข้าบ้านแบบนี้"

เสียงวิจารณ์ดังขึ้นเรื่อยๆ จนจางซูหลินเริ่มทำท่าอึดอัด ยืนกอดอกแน่นขึ้น สายตาของนางกวาดมองไปรอบๆ ราวกับหาทางหนี ลู่เจียวรู้ดีว่าในหมู่บ้านเล็กแบบนี้ การรักษาหน้าตาสำคัญกับนางมากแค่ไหน

ลมเย็นพัดผ่าน พาเอาเสียงกระซิบกระซาบของชาวบ้านลอยมา ลู่เจียวก้มลงมองลูกทั้งสองคนที่ยังจับมือเธอแน่น พวกเขากำลังมองสลับไปมาระหว่างพ่อที่นอนอยู่กับพื้นและย่าที่ยืนขวางประตูบ้าน ดวงตาเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว

ในเมื่อแม่สามีเลือกที่จะทำเช่นนี้ เธอก็ต้องเลือกทางของตัวเองเช่นกัน... ทางที่จะปกป้องครอบครัวเล็กๆ ของเธอได้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ