ป้าหวังพาลู่เจียวกับลูกเดินมุ่งหน้าไปที่ร้านขายเสื้อผ้าในตลาด ช่างเป็นวันที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะลู่เจียวที่มีเงินอยู่ในมือเกือบสิบเก้าหยวน ซึ่งได้จากการขายอาหารในหมู่บ้านและเงินเก็บนิดหน่อย หากเป็นลู่เจียวคนเก่าก็คงไม่เคยคิดว่าจะได้จับเงินมากมายขนาดนี้ เพราะเงินของครอบครัวบ้านกัวทั้งหมดอยู่ในมือของแม่สามี ร่างเก่าไม่มีสิทธิ์แตะต้องแม้แต่เฟินเดียว
ตอนนี้ลู่เจียวมีเงินที่หาได้จากการขายเผือกทรงเครื่อง ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจและมีอิสระมากขึ้น แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะสามารถทำให้เธอกับลูกอยู่ได้ทั้งเดือนโดยไม่ต้องทำงาน แต่ลู่เจียวรู้ดีว่าเธอจะไม่ยอมให้ตนเองต้องกลับไปยากจนอีกต่อไป
คงต้องตั้งใจหาเงินให้ได้มากกว่านี้ การขายของในเมืองทำให้ลู่เจียวเห็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้ เธอคิดไปไกลถึงขั้นว่าจะทำอาหารแบบใหม่ ๆ มาขาย เพื่อให้ลูกค้าไม่เบื่อ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
ลู่เจียวอยากตั้งใจกับสิ่งสำคัญที่สุดก่อน นั่นก็คือการซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูก ๆ รวมถึงผ้าห่มกับที่นอนใหม่ด้วย ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ที่สำคัญบ้านของพวกเธอต้องซ่อมแซมก่อนจะเผชิญหน้ากับลมหนาวที่ใกล้เข้ามาแล้ว
มาถึงร้านขายเสื้อผ้า ป้าหวังก็พาเดินไปยังส่วนที่ขายชุดเด็ก ลู่เจียวสอบถามราคาชุดของเด็กกับเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูใจดี แจ้งว่าราคาของชุดเด็กถูกที่สุดอยู่ที่สี่หยวนต่อชุด
ทำให้ลู่เจียวต้องชะงักมองดูเงินที่มีในมืออยู่ไม่ถึงยี่สิบหยวน เธอลำบากใจเพราะเงินจำนวนนี้ต้องเก็บไว้สำหรับเป็นทุนในการซื้อวัตถุดิบทำอาหารขายด้วย
"ถ้าไม่รังเกียจ ทางร้านเรายังมีเสื้อผ้ามือสองของเด็ก ๆ ด้วยนะ ราคาจะถูกลงครึ่งหนึ่ง และยังเป็นเสื้อผ้าของลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ไม่ใช้แล้ว สภาพดีมาก ถ้าสนใจก็ลองดูได้" เจ้าของร้านสังเกตเห็นความลังเลในสายตาของลู่เจียว ถึงได้ยิ้มและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เร่งรัด
ลู่เจียวหันไปมองหน้าลูก พวกเขาทั้งสองคนยืนอยู่ข้าง ๆ เธอก้มลงไปถามลูกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ซีซวน ชิงอี เข้าใจที่ป้าเจ้าของร้านพูดไหมลูก?"
เด็กทั้งสองคนพยักหน้า ลู่เจียวมองลึกเข้าไปในดวงตาของพวกเขา พลางถามอีกครั้ง "ลูกจะรังเกียจไหม ที่จะใส่เสื้อผ้ามือสอง?"
ซีซวนตอบอย่างจริงจังพร้อมกับรอยยิ้ม "ไม่รังเกียจครับแม่ มันน่าจะดีกว่าชุดที่ผมใส่อยู่ตอนนี้เสียอีก"
ลู่เจียวรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายมาก เขาเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เธอยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบา ๆ "ลูกเป็นเด็กดีมาก รู้จักคิดแบบนี้ แม่ภูมิใจในตัวลูกจริง ๆ"
ก่อน หันไปบอกเจ้าของร้านว่า "ฉันไม่รังเกียจค่ะ และฉันอยากดูเสื้อผ้ามือสองด้วย"
เจ้าของร้านยิ้มกว้างด้วยความยินดี พาพวกเราสามแม่ลูกไปที่มุมหนึ่งของร้าน มันเต็มไปด้วยเสื้อผ้ามือสองที่ถูกแขวนอย่างเป็นระเบียบ ลู่เจียวเริ่มเลือกเสื้อผ้าสำหรับลูกของเธอ ชุดมือสองเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพดีมาก และดูน่ารักสำหรับเด็ก ๆ
ในขณะที่ลู่เจียวกำลังเลือกเสื้อผ้าให้ลูก เจ้าของร้านมองดูชุดที่เด็ก ๆ สวมใส่อยู่ พอเห็นว่าสภาพเสื้อผ้าของพวกเขาค่อนข้างเก่าและปะชุนมาหลายครั้ง จึงเสนอด้วยน้ำใจ "เห็นว่าลูก ๆ ของเธอน่ารักดี ฉันมอบชุดให้พวกเขาคนละชุดโดยไม่คิดเงินแล้วกันนะ ถือว่าเป็นของขวัญ"
ลู่เจียวตกใจและรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง "ขอบคุณมากนะคะ! ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ"
ลู่เจียวเลือกชุดให้ลูกคนละสองชุด ราคาชุดละ 1.5 หยวน เมื่อรวมแล้วต้องจ่ายไปทั้งหมดหกหยวน แต่เนื่องจากเจ้าของร้านใจดีมอบชุดพิเศษให้คนละชุด ลู่เจียวถึงได้รับชุดถึงหกชุดด้วยเงินเพียงหกหยวนเท่านั้น
ลู่เจียวไม่ลืมถามถึงราคาผ้าห่มสำหรับใช้ในฤดูหนาว เจ้าของร้านแจ้งว่าผ้าห่มมือสองผืนใหญ่ที่ยังคงสภาพดีอยู่มีราคาห้าหยวน เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจซื้อผ้าห่มหนึ่งผืน มันใหญ่และกว้างพอสำหรับเราสามคนแม่ลูก เพราะมันจำเป็นสำหรับพวกเธอที่ต้องเผชิญกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
ลู่เจียวใช้เงินไปสิบเอ็ดหยวน เหลือเงินเพียงเจ็ดหยวนกว่า ๆ เท่านั้น รู้สึกตัดสินใจได้ดีที่ไม่ใช้เงินจนหมด เพราะยังต้องเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้สำหรับเป็นทุนในการทำอาหารมาขายในตลาดวันถัดไปด้วย
ป้าหวังที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ้มและชมเชย "เด็กสองคนของเธอเป็นเด็กดีมาก โตขึ้นต้องได้ดีแน่ ๆ"
เจ้าของร้านเองก็พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่เลย เด็กที่รู้จักคิดและกตัญญูแบบนี้ โตขึ้นมาเขาจะต้องเป็นเจ้าคนนายคนแน่นอน"
ลู่เจียวยิ้มรับคำชมทั้งสองคน แม้จะรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้รับคำชม แต่ในใจลึก ๆ ก็สัญญากับตนเอง ต่อไปเธอต้องหาเงินให้ได้มากขึ้น เพื่อให้ลูก ๆ ได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องลำบากเหมือนในอดีต
หลังจากซื้อเสื้อผ้าและผ้าห่มเรียบร้อย ลู่เจียว ป้าหวังและลูก ๆ เดินออกจากร้านเสื้อผ้า รู้สึกว่าการเดินทางในวันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเราได้เสื้อผ้าใหม่ แต่ยังเป็นก้าวแรกที่ได้เริ่มต้นสร้างอนาคตใหม่ให้กับครอบครัว
พอมาถึงตลาดสดในเมือง ลู่เจียวสังเกตเห็นว่าราคาของสดที่นี่ถูกกว่าร้านของลุงฉายมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร เนื้อสัตว์ หรือเครื่องปรุง ถึงรู้สึกแปลกใจหันไปถามป้าหวัง
"ป้าหวัง ทำไมของที่นี่ถึงถูกกว่าร้านของลุงฉายเยอะเลยคะ?" ลู่เจียวเอ่ยถาม
"แน่นอนสิจ๊ะ เพราะชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านของเราต้องเสียค่าเดินทางเพื่อมาซื้อของที่นี่ การซื้อของที่ร้านลุงฉายก็เหมือนกับการซื้อความสะดวกสบายไปในตัว ไม่ต้องนั่งรถเข้ามาในเมืองให้เสียเวลา แต่ลุงฉายเองก็มาซื้อของจากตลาดนี้ไปขายต่อเอากำไรอีกที นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ของในหมู่บ้านแพงกว่า" ป้าหวังยิ้มและอธิบายอย่างใจเย็น
ลู่เจียวพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนเดินไปร้านข้าวสาร เธออยากซื้อข้าวสารไปเก็บไว้ที่บ้าน แต่ก็ลังเลอยู่ เพราะกลัวว่าแม่เลี้ยงสามีจะมาเอาข้าวสารไปตอนที่ไม่อยู่บ้าน เธอถอนหายใจอยู่หลายครั้ง
"เป็นอะไรลู่เจียว ทำไมไม่ซื้อข้าวสารล่ะ?" ป้าหวังเห็นเธอลังเลก็หันมาถาม
"ฉันกลัวว่าถ้าซื้อข้าวสารไปเก็บไว้ที่บ้าน แม่สามีจะมาเอาไปค่ะ ถ้าไม่อยู่บ้าน" เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบไป
ป้าหวังหัวเราะบอก "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลหรอก เอามาเก็บไว้ที่บ้านป้าก่อนก็ได้ ป้าไม่ว่าหรอก"
ลู่เจียวซาบซึ้งกับน้ำใจของป้าหวังมาก "ขอบคุณมากค่ะป้าหวัง ฉันจะซื้อข้าวสารไปหนึ่งกระสอบนะคะ"
หลังจากซื้อข้าวสารหนึ่งกระสอบ เกลือ และเครื่องปรุงบางส่วน ขณะเดียวกันลู่เจียวคิดว่าควรทำอาหารดี ๆ ให้ลูกได้กินบ้าง เพราะพวกเขาทำงานหนักช่วยเธอขายของ
ลู่เจียวคิดจะทำหมูกับไข่พะโล้ จึงเดินไปยังร้านขายเนื้อมองป้ายราคาที่เขียนด้วยตัวอักษรจีนหวัด ๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่ชาย ทำไมราคาหมูสามชั้นถึงแพงกว่าหมูเนื้อแดงคะ”
คนขายเนื้อวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากการหั่นเนื้อ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อ “น้องสาว ไม่รู้เหรอ? มันเกี่ยวกับความนิยมน่ะ” เขาวางมีดลง พลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน
“คนส่วนใหญ่ชอบหมูสามชั้นมากกว่า เพราะมันมีทั้งมันและเนื้อในชิ้นเดียวกัน ทำอาหารได้หลายอย่าง ทั้งต้ม ผัด หรือจะทำหมูพะโล้ก็อร่อย" เขาชี้ไปยังชิ้นหมูสามชั้นที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ "แถมรสชาติก็ดีกว่า ไม่แห้งเหมือนเนื้อแดง”
ลู่เจียวพยักหน้าเข้าใจ นึกถึงตอนที่แม่เคยสอนทำอาหาร ท่านก็มักจะเลือกหมูสามชั้นมาทำอาหารจานโปรดของพ่อเสมอ
"แล้วอีกอย่าง..." คนขายลดเสียงลง "ช่วงนี้รัฐบาลควบคุมราคาหมูแดงไว้ เพราะมันเป็นเนื้อที่คนชนชั้นแรงงานซื้อกินกัน ถ้าราคาสูงเกินไป คนงานจะเดือดร้อน"
ลู่เจียวมองดูลูกค้าที่ยืนต่อแถว ส่วนใหญ่เป็นคนงานในโรงงาน พวกเขาเลือกซื้อเนื้อแดงเพราะราคาถูกกว่า แม้ไม่อร่อยเท่าหมูสามชั้น แต่ก็พอประทังชีวิตได้
"ฉันเอาหมูสามชั้นสองขีดกับซี่โครงหมูสองขีดค่ะ"
ขณะที่พ่อค้ากำลังชั่งน้ำหนัก ชิงอีที่ยืนอยู่ข้างเธอดูตื่นเต้นมาก หล่อนหันมามองด้วยดวงตาเป็นประกาย "แม่! เราจะได้กินเนื้อแล้วใช่ไหมคะ?"
ลู่เจียวยิ้มพร้อมกับลูบหัวลูก "ใช่จ้ะ วันนี้แม่จะทำหมูกับไข่พะโล้ให้หนูกับพี่ชายกิน ตอบแทนที่วันนี้หนูกับพี่ชายช่วยแม่ทำงานไงจ๊ะ"
พ่อค้าขายเนื้อได้ยินเสียงของชิงอีก็หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู "หนูน้อยนี่ตื่นเต้นใหญ่เลยนะที่จะได้กินเนื้อ เอาอย่างนี้ลุงแถมซี่โครงหมูติดเนื้อให้อีกนิดหน่อยนะ ถือว่าให้รางวัลเด็กดี"
ชิงอีและซีซวนก้มศีรษะขอบคุณพ่อค้าด้วยรอยยิ้มสดใส "ขอบคุณค่ะ/ครับ"
พ่อค้าหัวเราะแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี "ไม่เป็นไรหรอก หนูน่ารักขนาดนี้ ลุงให้ได้อยู่แล้ว"
ลู่เจียวรู้สึกขอบคุณพ่อค้าขายเนื้อมาก เขาช่วยให้พวกเธอมีอาหารอร่อยเพิ่มขึ้น "ขอบคุณมากนะคะพี่ชาย ลูก ๆ ของฉันจะต้องดีใจกับอาหารมื้อนี้แน่นอน"
หลังจากที่ได้เนื้อหมูและกระดูกซี่โครงแล้วลู่เจียวก็ไม่ซื้ออะไรเพิ่มเติม นอกจากกุนเชียงกับกุ้งแห้งเพราะเงินที่เหลืออยู่ต้องเก็บไว้เป็นทุนสำหรับทำอาหารมาขายในตลาดต่อไป
ป้าหวังเองก็ซื้อของสดตามที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็พากันเดินดูตลาดเพื่อสำรวจว่ามีอะไรขายบ้าง และราคาประมาณเท่าไร ลู่เจียวพยายามเก็บข้อมูลไว้ในใจเผื่อว่าวันข้างหน้าเธอจะได้นำวัตถุดิบใหม่ ๆ มาทำอาหารที่แปลกใหม่ขายในตลาด
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?