ตอนที่ 12: กัวหยาง

วันต่อมาลู่เจียวยังคงทำสิ่งเดิมซ้ำๆ วนไปเหมือนทุกวัน รีบตื่นเช้าเพื่อทำเผือกทรงเครื่อง เอาไปขายในเมือง กลับมาบ้านตอนบ่ายขึ้นเขาไปขุดเผือก มันเป็นกิจวัตรประจำวันที่หนักหนาแต่ก็สร้างรายได้ให้กับเธอมากกว่าที่เคยคิดไว้

ลู่เจียวสามารถเก็บเงินได้ถึงวันละสิบสองหยวน และในเวลาแค่เจ็ดวันเธอก็มีเงินเก็บถึงเก้าสิบสามหยวนแล้ว นับจากวันที่ทะลุมิติมายังเมืองเซินโจว เวลาผ่านไปเพียงสิบวันเท่านั้น

สิ่งที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดคือเด็กๆ ตอนนี้พวกเขาสวมชุดใหม่แล้ว เธอจำได้ดีว่าครั้งแรกที่เจอ ซีซวน และชิงอี พวกเขาสวมเสื้อผ้าขาด ตอนนี้พวกเขาดูสดใสขึ้น แววตาเปล่งประกายด้วยความสุขเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวโหยอีกต่อไป

เผือกป่าที่เคยหาได้ง่ายตอนนี้เกือบหมดป่าแล้ว ความกังวลค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในใจ ลู่เจียวนั่งนิ่ง ปล่อยให้ความคิดวนเวียนถึงหนทางทำมาหากินที่พอจะเป็นไปได้

ลมเย็นพัดผ่านช่องหน้าต่าง เตือนให้ลู่เจียวนึกถึงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง แม้เซินโจวจะเป็นเมืองติดทะเล อากาศยังพออบอุ่น แต่ความหนาวก็ไม่เคยละเว้นที่นี่ บ้านหลังนี้เองก็ดูทรุดโทรมจากการไม่ได้รับการซ่อมแซมมานาน เธอตัดสินใจว่าวันนี้จะพักสักวัน พรุ่งนี้ค่อยออกไปคุยกับช่างซ่อมบ้าน อย่างน้อยก็ต้องเตรียมบ้านให้พร้อมรับมือกับสายลมหนาวที่กำลังจะมาเยือน

หลังจากที่เตรียมการเรื่องช่าง ลู่เจียวมองไปยังสวนหลังบ้าน ที่ยังว่างเปล่า เธอคิดว่าน่าจะลองปลูกผักดูเพื่อเป็นอาหารเสริมและลดค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะปลูกคนเดียว ลู่เจียวต้องการให้เด็กๆ ช่วยปลูกผักด้วย เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความรับผิดชอบและความพยายามในการดูแลสิ่งที่ตัวเองลงมือทำ

“ซีซวน ชิงอี วันนี้เราจะปลูกผักกัน แม่จะสอนลูกๆ เอง” ลู่เจียวบอกพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เด็กๆ ต่างตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังไม่รู้ว่าการปลูกผักจะต้องทำอะไรบ้าง แต่ก็มั่นใจว่าเราจะทำให้สำเร็จไปด้วยกัน

*****

ในระหว่างที่ภรรยาและลูก ๆ ของกัวหยางกำลังยุ่งกับการทำงานหาเงินและปลูกผัก กัวหยางเองก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เขานั่งนิ่งบนรถที่กำลังพาเขากลับเซินโจว ความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดทำให้เขาครางในลำคอ ขณะที่ความทรงจำถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนหวนกลับมา

สามปีก่อนกัวหยางตัดสินใจไปทำงานที่ท่าเรือในเมืองใหญ่ งานแบกหามของหนักวันละหลายชั่วโมง แม้จะเหนื่อยแต่ค่าแรงดี ได้เดือนละห้าสิบหยวน ไม่รวมค่าล่วงเวลา นายจ้างมีที่พักและอาหารให้ ทำให้เขาสามารถส่งเงินกลับบ้านได้ทั้งหมด เขาเก็บไว้ใช้เพียงเงินค่าล่วงเวลาไม่ถึงสิบหยวนต่อเดือน

เช้าวันที่เกิดเหตุ ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่เช้าตรู่ ฝนพรำลงมาเป็นระยะ ทำให้พื้นท่าเรือเปียกลื่น กัวหยางและเพื่อนร่วมงานกำลังขนสินค้าลงจากเรือสินค้าลำใหญ่ที่เพิ่งเทียบท่า

"ระวังหน่อยนะพี่กัว" หลี่เต้าเฟิง เพื่อนร่วมงานตะโกนเตือน "พื้นลื่น"

กัวหยางพยักหน้ารับ เขาแบกกระสอบข้าวสารหนักบนบ่า ค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวลงบันได เท้าก็ลื่นกระทบกับขอบท่าเรือที่เปียกน้ำ

"ระวัง!" เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกัน

ร่างของกัวหยางเสียหลัก กระสอบข้าวสารกระแทกลงพื้นพร้อมกับเสียงครางด้วยความเจ็บปวด ขาข้างขวาของเขากระแทกกับขอบท่าเรือเต็มแรง

"กัวหยาง!" หวังต้าจง หัวหน้าคนงานรีบวิ่งเข้ามาดู "เฮ้ย! ใครก็ได้ รีบไปตามหมอมาเร็ว!"

หลี่เต้าเฟิงรีบวิ่งไปที่สถานีอนามัยประจำท่าเรือซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เพราะท่าเรือมักมีอุบัติเหตุบ่อย จึงต้องมีสถานีอนามัยไว้รักษาคนงานที่บาดเจ็บ

"ทนหน่อยนะ" หวังต้าจงบอกพลางประคองกัวหยาง เห็นเลือดไหลซึมออกมาจากแผลที่ขา

"ผมขอโทษครับ" กัวหยางพูดเสียงสั่น "ข้าวสารมัน..."

"ช่างมัน" หวังต้าจงเอ่ยตัดบท "ตอนนี้ห่วงตัวนายก่อนเถอะ"

ไม่นานหมอจากสถานีอนามัยก็มาถึงพร้อมรถตู้เก่าที่ดัดแปลงเป็นรถรับส่งคนเจ็บ หมอตรวจดูอาการคร่าวๆ

"ท่าไม่ดี ดูเหมือนกระดูกจะหัก" หมออาวุโสวินิจฉัย "ต้องรีบส่งโรงพยาบาลประจำเมือง ที่นี่รักษาไม่ไหว"

"ผมไปด้วย" หวังต้าจงบอก ก่อนหันไปสั่งลูกน้อง "ไปแจ้งที่สำนักงานท่าเรือด่วน บอกว่ามีคนงานประสบอุบัติเหตุ กำลังพาไปส่งโรงพยาบาล "

ที่โรงพยาบาลหมอตรวจอาการอย่างละเอียด ฟิล์มเอ็กซเรย์แสดงให้เห็นว่ากระดูกขาแตกร้าว ต้องผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูก

"ต้องพักฟื้นอย่างน้อยหกเดือน ยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้สักสองสัปดาห์ก็ต้องเริ่มทำกายภาพบำบัดแล้ว" หมอบอก

กัวหยางนอนซึมอยู่บนเตียง ความกังวลเรื่องค่ารักษาทำให้ใบหน้าซีดเผือด ไม่นานผู้จัดการจากท่าเรือก็มาถึง

"เถ้าแก่บอกว่าจะรับผิดชอบค่าผ่าตัดให้" ผู้จัดการบอก "เห็นว่าเป็นคนงานขยัน ถ้าหายดีแล้วอยากกลับมาทำงาน ก็มาได้เหมือนเดิม"

การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แต่ความเจ็บปวดยังคงอยู่ กัวหยางนอนมองเพดานโรงพยาบาล คิดถึงลูกเมียที่รออยู่ที่บ้าน

"ผมอยากกลับบ้าน" กัวหยางบอกหมอในวันที่เจ็ดหลังผ่าตัด

"ยังเร็วไปนะ" หมอทักท้วง "ควรอยู่ให้ครบสิบวันเพื่อดูอาการ"

"ผมไม่อยากเป็นภาระเถ้าแก่ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ให้ผมกลับบ้านเถอะครับ" กัวหยางยืนกราน

หมอลังเลแต่ก็เข้าใจ จึงสั่งยาและอธิบายวิธีทำแผลอย่างละเอียด "ถ้าจะกลับก็ต้องระวังให้มาก และต้องไปทำกายภาพบำบัดตามนัดทุกสัปดาห์ ไม่งั้นขาอาจเดินไม่ได้"

“ผมจะไปตามนัดครับ คุณหมอครับ ผมต้องเอาเหล็กออกไหมครับ”

“ไม่จำเป็น ถ้ามันไม่ทำให้คนไข้เจ็บก็ไม่ต้องเอาออกก็ได้ แต่ว่าถ้ามีอาการข้างเคียงหลังจากที่หายแล้ว ก็ให้ไปหาหมออีกครั้งนะ”

“ขอบคุณครับ

เมื่อหวังต้าจงมาเยี่ยมเขาในวันถัดไป กัวหยางจึงได้บอกให้หัวหน้างานรับทราบ

หวังต้าจงจัดการให้รถจากสถานีอนามัยมารับกัวหยางกลับบ้านเดิม ระหว่างทางเขาคิดถึงบ้านหลังเก่าที่อยู่กับแม่เลี้ยงจางซูหลิน คิดถึงลูกชายซีซวนที่กำลังจะได้เข้าโรงเรียน และลูกสาวชิงอีที่ยังเล็ก

รถแล่นผ่านถนนในเมืองเซินโจว ผ่านโรงงานต่างๆ ที่กำลังเติบโต กัวหยางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นคนงานมากมายกำลังเดินไปทำงาน บางคนปั่นจักรยาน ทุกคนต่างดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัว

"อดทนหน่อยนะ" หวังต้าจงพูดขึ้น "อีกไม่นานก็ถึงบ้านแล้ว"

กัวหยางพยักหน้า พยายามกลั้นความเจ็บปวด คิดถึงใบหน้าของภรรยาและลูกๆ แต่ลึกๆ ในใจ เขารู้ดีว่าการกลับบ้านครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจางซูหลินแม่เลี้ยงที่ไม่เคยพอใจในตัวเขา

รถแล่นเข้าสู่ถนนดินแดงที่คุ้นเคย บ้านไม้หลังเก่ากำลังรออยู่เบื้องหน้า พร้อมกับชะตากรรมที่ไม่มีใครล่วงรู้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ