ตอนที่ 10: ช่วยชีวิตลูกชายเจ้าของโรงงาน

ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้เวลาใกล้เที่ยงแล้ว เด็ก ๆ ก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย พวกเขายังคงสดใสร่าเริง คุยกันเจื้อยแจ้วถึงเรื่องราวที่ได้เจอในวันนี้  

หลังจากที่ซื้อของครบป้าหวังก็ชวนทุกคนกลับบ้าน รถเข็นที่ขามาเต็มไปด้วยผักและของขาย ขากลับก็แน่นไปด้วยข้าวสาร เสื้อผ้า ของกิน และแน่นอนว่ายังมีเด็กน้อยสองคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วย 

ลู่เจียวกับป้าหวังเข็นรถที่เต็มไปด้วยของ เด็ก ๆ นั่งอยู่ข้างหน้า พวกเขายิ้มและหัวเราะกันอย่างมีความสุขในวันนี้ ขณะกำลังจะผ่านหน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ซีซวนก็หันไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรม เด็กชายหยุดมองทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น 

"แม่! รถยนต์ครับ! ผมอยากนั่งจัง ผมไม่เคยเห็นรถยนต์สวย ๆ แบบนี้มาก่อน" ซีซวนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขามองไปที่รถยนต์คันนั้นด้วยความทึ่ง  

ลู่เจียวยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบลูกชายด้วยความเอ็นดู "เราได้คงได้แต่มองไม่มีโอกาสได้นั่งหรอก" 

ป้าหวังได้ยินจึงเสนอ "พวกเรารอที่นี่อีกหน่อยให้ซีซวนดูรถยนต์ก่อนก็ได้ ให้เขาได้ดูไปก่อน พอรถออกไปแล้วค่อยเดินทางต่อ" 

ลู่เจียวพยักหน้าเห็นด้วย เด็กๆ ต่างก็เฝ้าดูรถยนต์คันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้พวกเขาไม่ยอมละสายตาไปไหน แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น 

 เมื่อรถยนต์จอดสนิท ลู่เจียวได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของหญิงวัยกลางคนดังลั่น จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหันมามองด้วยความสงสัย 

'ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยลูกชายฉันที!' เสียงร้องด้วยความตกใจของหญิงคนนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ 

ลู่เจียวเห็นผู้คนที่เดินผ่านต่างก็พากันเข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้ เมื่อมองเข้าไปในรถลู่เจียวถึงกับชะงัก เด็กชายวัยเดียวกับลูกชายของเธอกำลังทำท่าทางทรมาน มือกุมลำคอ ปากอ้ากว้างแต่ไม่มีเสียงร้องใด ๆ ออกมา ดวงตาเหลือกขึ้น

ลู่เจียวเดาว่าเด็กชายคงกินอะไรแล้วมันติดคอ

เธอมองแม่ของเด็กชายกับพี่เลี้ยงที่พยายามลูบเนื้อลูบตัวเด็ก แต่ก็ทำได้เพียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไร คิดว่าพวกเขาคงไม่มีใครรู้วิธีที่จะช่วยเด็กจากเหตุการณ์แบบนี้ 

"ลูกชายเถ้าแก่เนี้ยต้องตายแน่แล้ว!" 

"ดูสิ แม่เด็กก็ทำอะไรไม่เป็นเลย แค่ยืนร้องไห้ขอความช่วยเหลือ" 

"ใครก็ได้ช่วยที! เด็กชายแย่แล้ว!" 

เสียงซุบซิบและความตื่นตระหนกกระจายไปทั่ว ลู่เจียวรู้ทันทีว่าถ้าไม่รีบช่วยเด็กชาย เด็กอาจจะเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่บนหัว มันร้อนเกินไป

เธอไม่สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น รีบหันไปหาคนขับรถที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความตกใจ "พี่ชาย! ช่วยอุ้มเด็กเข้าไปในห้องโถงรับรองของโรงแรมทีค่ะ! ฉันจะช่วยปฐมพยาบาล!" 

คนขับรถหันไปมองเถ้าแก่เนี้ยอย่างขอความเห็น หญิงวัยกลางคนเมื่อเห็นว่ามีคนที่สามารถช่วยลูกชายตนเองได้ ก็พยักหน้าอนุญาต เขารีบอุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้นและพาเดินเข้าไปในโรงแรม แม่ของเด็กกับพี่เลี้ยงก็รีบเดินตามเข้าไป ส่วนลู่เจียวกำลังจะเดินตามเขาไปพร้อมกับเสียงของชาวบ้านที่ซุบซิบตามหลัง 

"ใครกันน่ะ? ผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยชุดเก่า ๆ นั่นเสนอหน้าไปช่วยอะไรเด็ก?" 

“ดูก็รู้ว่าเป็นคนชนบท แบบนี้จะช่วยอะไรได้” 

"น่าจะมาทำให้เด็กชายแย่ลงมากกว่า ดูไม่เหมือนคนที่จะช่วยอะไรได้เลย" 

ลู่เจียวรู้สึกโมโหกับคำพูดดูถูกเหล่านั้น จึงหันกลับไปตะโกนใส่พวกเขาด้วยความโกรธ "หุบปาก! ถ้าไม่ช่วยก็กรุณาอยู่เฉยๆ!" 

เสียงของลู่เจียวดังชัดและเด็ดขาด ชาวบ้านที่ซุบซิบอยู่ต่างพากันเงียบเสียงลงในทันที เธอรีบเดินตามคนขับรถไปที่ห้องโถงของโรงแรม เมื่อเข้ามาในห้องโถงเธอบอกให้คนขับรถวางเด็กชายลงบนพื้นเรียบ จากนั้นก็เริ่มทำการปฐมพยาบาลทันที 

ลู่เจียวเดินไปยืนซ้อนด้านหลังของเด็กชายที่ตอนนี้เขายังเอามือกุมลำคอ ยืนได้ด้วยการประคองจากคนขับรถ เมื่อลู่เจียวรับตัวเด็กชายไปแล้ว คนขับรถก็เดินห่างออกมายืนระยะมือเอื้อมถึง

การปฐมพยาบาลสำหรับมีสิ่งแปลกปลอมหรืออาหารติดคอ ต้องทำการปฐมพยาบาลที่เรียกว่า Heimlich maneuver  หรือการกดหน้าท้อง

“น้องชายไม่ต้องกลัวนะ พี่สาวกำลังช่วยอยู่ อย่าต่อต้าน ปล่อยตัวตามสบาย” ลู่เจียวพูดปลอบเด็กชายในอ้อมแขน ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าเด็กชายคงไม่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ แต่ก็ต้องบอกไปตามสิ่งที่สมควรต้องทำ

เมื่อได้ท่าที่เหมาะสมลู่เจียวเริ่มกดที่กลางท้องของเด็ก ค่อย ๆ กดแรงพอสมควรโดยที่ระวังไม่ให้กระแทกแรงเกินไป เธอกดอยู่หลายครั้ง ในขณะเดียวกันแม่ของเด็กชายก็ยังคงร้องไห้เสียงดังอยู่ข้าง ๆ 

"ช่วยลูกฉันด้วย! ช่วยที!" 

ลู่เจียวยังคงตั้งใจช่วยชีวิตเด็ก เธอรู้ดีว่าถ้าทำตามวิธีนี้ สิ่งที่ติดอยู่ในลำคอเด็กจะต้องหลุดออกมา และไม่นานนัก สิ่งที่คาดหวังก็เกิดขึ้น เด็กชายเกิดอาการสะอึก และขนมที่ติดอยู่ในลำคอของเขาก็ถูกพ่นออกมาทางปาก 

ลู่เจียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เด็กเริ่มหายใจได้อีกครั้ง แม้จะยังอ่อนแรงอยู่ แต่ใบหน้าของเขาเริ่มกลับมาเป็นสีปกติ รู้สึกโล่งใจที่สามารถช่วยชีวิตเด็กชายได้ทันเวลา 

ลู่เจียวปล่อยร่างของเด็กชายออกเล็กน้อย คนขับรถถลาเข้าไปพยุงเจ้านายตัวน้อยของเขา

แม่ของเด็กรีบวิ่งเข้ามากอดลูกทั้งน้ำตานองหน้า "ขอบคุณ! ขอบคุณมาก! ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี!" 

ลู่เจียวส่ายหน้าด้วยท่าทีอ่อนแรงเล็กน้อย "ไม่เป็นไรค่ะ เป็นเรื่องที่สมควรจะต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว" 

ผู้คนที่ยืนมองอยู่รอบ ๆ ต่างพากันซุบซิบเสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเสียงซุบซิบที่เต็มไปด้วยความชื่นชม 

"เธอช่วยชีวิตเด็กไว้ได้จริง ๆ" 

"ไม่น่าเชื่อเลย ผู้หญิงแต่งตัวด้วยชุดเก่า ๆ จะเก่งขนาดนี้" 

"เธอทำได้! เธอช่วยเด็กได้!" 

เธอไม่สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเด็กชายรอดชีวิตและปลอดภัย 

ลู่เจียวลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะผละจากไปหลังเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว แต่จู่ ๆ แม่ของเด็กก็รีบเรียกเธอไว้ เดินเข้ามาหาพร้อมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง  

“ขอบคุณอีกครั้งนะจ๊ะ เธอช่วยชีวิตลูกชายฉันไว้ ถ้าไม่ได้เธอ ลูกฉันคง…” เสียงของหล่อนสะดุดไป ก่อนจะหันไปเรียกหาสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ไปเอากระเป๋าฉันมาสิ” 

สาวใช้รีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระเป๋า เมื่อเปิดกระเป๋าออกเถ้าแก่เนี้ยหยิบเงินจำนวนหนึ่งแล้วยื่นให้เธอ “รับไว้เถอะนะ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เธอช่วยชีวิตลูกชายของฉัน” 

ลู่เจียวมองเงินในมือของเถ้าแก่เนี้ยแล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้เท่านั้น” เธอพูดพลางยิ้มบาง ๆ “ฉันเองก็มีลูกสองคน อายุใกล้เคียงกับลูกของเถ้าแก่เนี้ยเช่นกัน” 

เสียงเรียกของชิงอีดังขึ้น "แม่จ๋า!" เธอรีบหันไปมองเห็นลูกสาวและลูกชายเดินเข้ามาหา ทั้งสองคนเดินมาหยุดข้างเธออย่างเงียบ ๆ สวมชุดที่ผ่านการปะชุนมาแล้วหลายครั้ง รองเท้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยขาด 

เถ้าแก่เนี้ยหันไปมองเด็กทั้งสองใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความประทับใจ พิจารณาเสื้อผ้าลูกของคนที่ช่วยชีวิตลูกชายที่ดูซอมซ่อ และความรักผู้เป็นแม่แสดงออกต่อลูกของตเอง “บ้านเธออยู่ที่ไหนจ๊ะ?” เถ้าแก่เนี้ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความใส่ใจ 

“บ้านของฉันอยู่ที่หมู่บ้านซินหัวค่ะ ห่างออกไปนอกตัวเมือง ใช้เวลาเดินมาประมาณหนึ่งชั่วโมง” ลู่เจียววตอบอย่างตรงไปตรงมา  

เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้า “หมู่บ้านชินหัวเหรอ… ถ้าอย่างนั้นเธอกับลูกคงเดินกลับอีกนานสินะ เวลานี้ก็เกือบเที่ยงแล้วด้วย ท้องก็คงจะหิวมากแล้วใช่ไหม?” เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างอ่อนโยน “เธออาจจะทนได้ แต่ลูก ๆ ของเธอสองคนคงจะทนหิวไม่ไหว” 

ลู่เจียวกำลังจะตอบปฏิเสธ เพราะไม่อยากรบกวนเถ้าแก่เนี้ย หล่อนยื่นข้อเสนออย่างแน่วแน่ “เอาแบบนี้ ฉันจะพาทุกคนไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ห้ามปฏิเสธนะ! ลูกของเธอต้องกินข้าว เด็ก ๆ ต้องกินอาหารให้ตรงเวลา” 

ลู่เจียวพยายามหาข้อแก้ตัว “ฉันเป็นแค่คนชนบท แต่งกายไม่เรียบร้อย ที่นี่เป็นโรงแรมชื่อดัง ฉันคงทำให้เถ้าแก่เนี้ยอับอายแน่” 

แต่เถ้าแก่เนี้ยกลับส่ายหน้า “อย่าคิดแบบนั้นเลย เธอช่วยชีวิตลูกชายฉันไว้ ฉันจะอายได้ยังไง ฉันเองก็เป็นสมาชิกของโรงแรมนี้ ใครจะกล้ามาไล่ฉันออกไปล่ะ?” 

ลู่เจียวยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมรับข้อเสนอของเถ้าแก่เนี้ย “ถ้าเป็นเช่นนั้น... ขอบคุณมากค่ะ” 

ป้าหวังยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มองลู่เจียวด้วยความประหลาดใจ พอเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยยืนยันแน่นอนก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินตามมาด้วยอย่างเงียบ ๆ 

พอก้าวเข้าสู่โรงแรมหรู ความแตกต่างชัดเจนยิ่งนัก พื้นที่ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง พนักงานโรงแรมในชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อยต่างเดินมาทักทายเถ้าแก่เนี้ยด้วยความนอบน้อม ก่อนจะพาพวกเธอนั่งที่โต๊ะอาหารในห้องรับรองพิเศษ ลูก ๆ ของลู่เจียวนั่งอย่างเรียบร้อย แต่แววตาของพวกเขาเป็นประกาย มองดูรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ