เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศยังคงเย็น มีหมอกจาง ๆ ลอยปกคลุมทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลลิบ วันนี้ท้องฟ้าไม่สว่างสดใส มันหม่นหมองเหมือนชีวิตของลู่เจียวในตอนนี้ แต่ว่ามันไม่ได้ทำให้รู้สึกเศร้า เพราะตอนนี้เธอคือลู่เจียว หญิงสาวที่ต้องต่อสู้กับชีวิตอันยากลำบากในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคย
ลู่เจียวลุกขึ้นจากเตียงไม้ไผ่เก่า เสียงมันดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนจะหักทุกครั้งที่ขยับตัว เธอถอนหายใจอย่างปลงตกและต้องเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีความหวัง เหลือบมองเด็ก ๆ ที่ยังหลับสนิทอยู่ที่มุมห้อง พวกเขานอนหนุนหมอนใบเล็ก ที่ดูเก่ามากเกินกว่าจะนับปีได้
จำได้ว่าเมื่อวานแม่สามีพูดถึงการขึ้นเขาไปหาของกิน ตอนนี้เธอก็รู้สึกสบายดีแล้ว การขึ้นเขาอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นในการหาของกินก็ได้
คิดได้ดังนั้นลู่เจียวรีบไปรื้อเอาเสียมอันเก่าที่อยู่ในห้องเก็บของ พร้อมกับหยิบตะกร้าหวายขึ้นแบกบนบ่า ถึงแม้ว่าน้ำหนักของมันจะเบาในตอนนี้ แต่ในใจของเธอก็หวังว่ามันจะหนักและเต็มตะกร้าเมื่อลงมาจากภูเขา
ตะวันเริ่มทอขอบฟ้าทำให้สามารถเดินเข้าป่าไปได้อย่างไม่ลำบาก ถ้ามาเช้ากว่านี้คงทำไม่ได้เพราะมันมืดจนมองไม่เห็นทางเดิน
ลู่เจียวเดินไปตามเส้นทางที่เคยผ่านเข้าไปในชายป่า ก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางเสียงนกและลมพัดที่ทำให้ต้นไม้โยกไหว วันนี้ตั้งใจจะไปหาผักป่ามาทำอาหารให้ลูก ไม่ได้มีความหวังอะไรมาก แค่พอให้ทำอาหารมื้อหนึ่งก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
แต่พอมาถึงชายป่าที่คุ้นเคย เธอกลับรู้สึกผิดหวัง ผักป่าที่เคยเก็บได้ง่ายในทุกวันกลับหายถูกเก็บไปหมด ลู่เจียวตัดสินใจเดินไปเรื่อย ๆ หยุดก้มลงมองใต้ต้นไม้พุ่มเตี้ย แต่ก็ไม่พบอะไร ชาวบ้านคงมาเก็บไปหมดแล้ว เพราะช่วงนี้คนในหมู่บ้านต่างหันมาพึ่งพาผักป่าเนื่องจากอาหารหายากขึ้น
"ทำไงดีล่ะเรา" เธอบ่นพึมพำกับตนเอง มองลึกเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยกล้าเข้าไปเท่าไร แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก ลู่เจียวปรับสายตาให้ชินกับความสลัวของป่าลึกและก้าวต่อไป
เส้นทางเริ่มลาดขึ้นเป็นทางเขาสูงชัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย หวังว่าโชคจะเข้าข้างกันบ้าง
ทันใดนั้นลู่เจียวหยุดชะงักเมื่อมองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นต้นเผือกป่า ใบสีเขียวสูงชูเด่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ ทุ่งเผือกป่าที่เธอเห็นมันเหมือนกับสัญญาณบอกว่าเธอเจอขุมทรัพย์เข้าแล้ว
"นี่มันป่าเผือก!" เสียงอุทานกับตนเองดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ลู่เจียวรีบวางตะกร้าหวายลงข้างตัว หยิบเสียมขึ้นมาขุดดินรอบ ๆ ต้นเผือกอย่างระมัดระวัง ดินนุ่มทำให้การขุดไม่ยากอย่างที่คิด แต่เผือกที่นี่เยอะกว่าที่เคยเจอมาก เธอจึงขุดเผือกทีละหัว ใส่ลงในตะกร้าหวายที่เริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
หัวเผือกใหญ่มาก ลู่เจียวไม่เคยเจอป่าเผือกที่มีหัวใหญ่และแน่นขนาดนี้มาก่อน ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ยิ่งขุดก็ยิ่งพบเผือกมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมันไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกถึงความโชคดีที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทว่าตะกร้าหวายของเธอก็เริ่มเต็ม และน้ำหนักก็มากเกินกว่าจะขุดเพิ่มได้อีก
ลู่เจียวเงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ป่าเผือกที่ยังคงมีอยู่อีกมากมาย "คงต้องกลับมาพรุ่งนี้แล้วล่ะ"
เธอหยิบตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยเผือกขึ้นมาพาดบ่า แม้ว่ามันจะหนักไปหน่อย แต่รู้สึกโล่งใจที่ได้พบของดีเช่นนี้ ลู่เจียวเดินลงจากเขาด้วยความสบายใจ แม้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยจากการปีนเขาและการขุดเผือก แต่ความรู้สึกที่ได้พบกับความสำเร็จเล็ก ๆ นี้ก็ทำให้เธอมีกำลังใจ
หลังจากเดินกลับมาถึงบ้านพร้อมกับตะกร้าที่เต็มไปด้วยเผือก ลู่เจียวไม่รอช้าที่จะเริ่มทำงานต่อทันที อันดับแรกหยิบเผือกออกจากตะกร้า แล้วพาตัวเองไปที่บ่อข้างบ้าน สุดท้ายตักน้ำด้วยขันไม้จากในตุ่มน้ำแล้วราดลงบนเผือกทีละหัว ล้างดินออกอย่างระมัดระวัง
เผือกแต่ละหัวที่ขุดมาจากป่าถูกขัดจนสะอาด ก่อนผึ่งมันไว้บนแคร่หน้าบ้านให้แห้ง มีลมพัดผ่านมาพอให้เผือกแห้งเร็วขึ้น ระหว่างที่รอ ลู่เจียวเดินเข้าบ้านไปดูเด็ก ๆ ที่ยังคงนอนหลับสนิท ชิงอีและซีซวนดูเหมือนจะฝันดี เธอยิ้มให้กับภาพที่เห็น พร้อมกับดึงผ้าห่มผืนเก่าขึ้นมาคลุมร่างให้พวกเขาอย่างเบามือ
เมื่อจัดการกับลูกเรียบร้อยแล้ว ลู่เจียวเดินกลับออกมาดูเผือกที่ผึ่งไว้ หยิบเผือกบางส่วนใส่ตะกร้าหวายใบเดิม ก่อนมุ่งหน้าไปตลาดเช้า
สิ่งแรกที่ลู่เจียวทำเมื่อมาถึงตลาดคือไปที่แผงของป้าหวัง ป้าหวังเป็นคนที่ใจดีที่สุด เมื่อวานนี้ป้าหวังให้เธอยืมผักกับข้าวสาร วันนี้จึงตั้งใจจะเอาเผือกมาคืน
"ป้าหวังคะ นี่เผือกที่ฉันขุดได้เมื่อเช้านี้ เอามาฝากป้าค่ะเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยฉันเมื่อวาน ส่วนเงินค่าของ ฉันขอติดอีกหน่อยนะคะ" ลู่เจียวพูดพร้อมยื่นเผือกให้ป้าหวัง
ป้าหวังยิ้มแล้วพยักหน้า "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ลู่เจียว มีเมื่อไรก็เอามาให้ป้าก็แล้วกัน ว่าแต่มานั่งขายเผือกที่แผงป้าเลยก็ได้นะ มีที่ว่างอยู่พอดี ขายของเก่งแบบเธอ ต้องหมดเร็วแน่ ๆ"
เธอยิ้มรับคำของป้าหวังอย่างอาย ๆ แต่ในใจก็รู้สึกขอบคุณมากที่ป้าเปิดโอกาสให้เธอนั่งขายของ ลู่เจียววางเผือกลงบนแผง รอไม่นานลูกค้าในหมู่บ้านและใกล้เคียงก็เพิ่มขึ้น
เช้านี้มีแม่บ้านหลายคนเดินผ่านไปผ่านมา และในที่สุดก็มีแม่บ้านคนหนึ่งหยุดเดิน หล่อนมองเผือกในตะกร้าด้วยความสนใจ
"เผือกนี่ขายยังไงจ๊ะ?" หล่อนถามด้วยเสียงอ่อนโยน
"กองละสองเหมา เผือกนี่ขุดเองเมื่อเช้านี้เลย สดมากค่ะ น่าเสียดายที่บ้านฉันไม่มีตาชั่ง ฉันขอขายเป็นกองแทนนะคะ”
แม่บ้านพยักหน้าแล้วยิ้ม "เอาสองกองจ้ะ"
ลู่เจียวรีบหยิบเผือกตามที่แม่บ้านสั่ง วางลงในตระกร้าของลูกค้าพร้อมกับรับเงินเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เช้านี้เผือกของเธอขายหมดเร็วอย่างที่ป้าหวังบอกจริง ๆ ป้าหวังยังชมอีกว่าเธอขายของเก่ง พอได้ยินคำชมจากป้า ลู่เจียวก็ยิ้มกว้างรู้สึกภูมิใจในตนเอง
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงลู่เจียวเก็บตะกร้าเปล่า เอ่ยลาป้าหวังไปต่อที่ร้านลุงฉาย ลุงฉายเป็นเจ้าของร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน เธอคิดว่าเมื่อขายเผือกได้แล้วก็จะเอาเงินไปซื้อของที่ต้องใช้ในครัวเรือน
พอมาถึงร้านเธอเลือกซื้อของที่จำเป็น กุนเชียงหนึ่งแท่ง กุ้งแห้งตัวเล็กนิดหน่อย เกลือ เครื่องเทศ และข้าวสารอีกหนึ่งถุงเล็ก แต่พอคิดเงิน ลู่เจียวถึงได้รู้ว่าเงินที่ได้จากการขายเผือกเมื่อเช้านี้ไม่พอ
"ลุงฉายคะ ขอโทษนะคะ เงินวันนี้ไม่พอ แต่พรุ่งนี้ฉันสัญญาว่าจะเอามาคืนแน่นอนค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะขุดเผือกมาเพิ่ม แล้วจะมาขายที่ตลาดอีก” ลู่เจียวพยายามออดอ้อน ลุงฉายยืนมองเธออย่างพิจารณา
"เอาไปก่อนก็ได้ลู่เจียว ฉันเชื่อว่าเธอไม่โกหก พรุ่งนี้อย่าลืมเอาเงินมาคืนก็พอ" ลุงฉายพูดด้วยเสียงนุ่มมีเมตตา
ลู่เจียวถอนหายใจอย่างโล่งอกรีบรับของจากลุงฉายและขอบคุณเขาหลายครั้ง ก่อนเดินกลับบ้านด้วยความเร็ว และตอนเปิดประตูเข้าบ้านพบว่าลูกทั้งสองตื่นแล้ว
"แม่!" ซีซวนตะโกนพร้อมวิ่งเข้ามาหา "ผมพาน้องล้างหน้า เก็บที่นอนเรียบร้อยแล้วครับ!"
ลู่เจียวยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น "เก่งมากจ้ะ ในเมื่อลูกสองคนเป็นเด็กดี ดังนั้นเป็นเด็กดีก็ต้องมีรางวัล เอาเป็นว่าวันนี้แม่จะทำของอร่อยให้ลูกกินดีไหม?"
ชิงอีกับซีซวนตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างดีใจ "เย้! ของอร่อย!" ลู่เจียวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้ลูก แล้วเดินหายเข้าไปในครัว เตรียมของอร่อยที่สัญญาไว้กับพวกเขา
ตอนที่ 4. เผือกนึ่งทรงเครื่อง
ลู่เจียวเดินเข้าครัวพร้อมกับสองลูก ซีซวนกับชิงอีพวกเขาตื่นเต้นที่เห็นผู้เป็นแม่เตรียมทำอาหาร แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มาก่อกวนพวกเขาแค่ไปนั่งมุมหนึ่งของห้องครัว มองดูเธอทำอาหารเงียบ ๆ ลู่เจียวมองพวกเขาแล้วก็ยิ้มให้เล็กน้อย รู้สึกได้ว่าพวกเขาเป็นเด็กดีมากที่ไม่ทำให้เธอต้องวุ่นวายระหว่างทำอาหาร
"แม่ทำอะไรเหรอครับ?" ซีซวนถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
"แม่กำลังจะทำของอร่อยให้กินจ้ะ" ลู่เจียวตอบขณะที่กำลังก่อไฟในเตา
เธอตั้งหม้อน้ำขึ้นบนเตา รอให้น้ำเดือด ระหว่างนั้นหยิบเผือกที่ล้างแล้วมาปอกเปลือก ลู่เจียวเริ่มปอกเปลือกเผือกหัวใหญ่ด้วยความระมัดระวัง มือค่อย ๆ ล้างเผือกให้สะอาดเพื่อเอายางออก หลังจากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นใหญ่พอเหมาะ วางลงบนเขียงอย่างเป็นระเบียบ เมื่อหม้อน้ำเริ่มเดือดก็ยกเผือกที่หั่นเตรียมไว้ขึ้นนึ่ง
"อีกไม่นานก็ได้กินเผือกนึ่งแล้วนะจ๊ะ" ลู่เจียวหันไปบอกลูกของเธอ พวกเขามองมาด้วยตาเป็นประกาย
ระหว่างรอให้เผือกนึ่งสุก เธอเตรียมตัวทำเมนูเผือกทรงเครื่อง เมนูนี้เป็นที่เธอถนัดตั้งแต่ชาติก่อนและมั่นใจว่ามันจะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนที่นี่ เริ่มจากหั่นเผือกเป็นเส้นเล็ก ๆ ลองเทียบปริมาณเผือกกับพวกเนื้อสัตว์ที่จะใส่แล้วก็พยักหน้าพอใจ
ต้องเข้าใจก่อนว่าในชาติก่อนเธอใส่กุนเชียงกับกุ้งแห้งในปริมาณมากพอๆ กับเผือก ทว่าไม่ใช่ในตอนนี้ ถ้าจะขายให้กับชาวบ้านในชนบทแบบนี้ ราคาต้องไม่สูงเกินไป จึงลดปริมาณเนื้อสัตว์ลง แค่ให้มีกลิ่นและรสชาติจากเนื้อเท่านั้น จากนั้นหั่นกุนเชียงเป็นชิ้นเล็ก ๆ คล้ายลูกเต๋า แล้วหยิบกุ้งแห้งออกมา
"แม่คะ กลิ่นเหมือนเนื้อเลยค่ะ!" ชิงอีพูดขึ้นพร้อมสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศขณะที่เธอเริ่มผัดกุนเชียงและกุ้งแห้งในกระทะ
ลู่เจียวหัวเราะ "แม่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อเนื้อหรอกลูก แต่กุนเชียงก็พอแทนได้บ้าง" บอกพวกเขาพร้อมกับพลิกกุนเชียงและกุ้งแห้งในกระทะไปมาให้มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วครัว
เมื่อกุนเชียงและกุ้งแห้งสุกพอดี เธอค่อยเทมันลงในเผือกที่หั่นไว้ จากนั้นก็เติมเกลือ น้ำตาล และเครื่องเทศเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ ตามด้วยแป้งมันและแป้งข้าวเหนียวเพื่อให้เนื้อเผือกนุ่มและเหนียวเล็กน้อย ก่อนจะคลุกเคล้าทุกอย่างเข้ากันอย่างดี
"มันเรียกว่าอะไรเหรอครับ?" ซีซวนถามอีกครั้ง
"เผือกทรงเครื่องจ้ะ" เธอบอกเขา "มันทำง่ายแต่อร่อย กินแทนข้าวหรือของว่างก็ได้"
ลู่เจียวลุกขึ้นไปหาสิ่งที่จะเอามาเป็นภาชนะสำหรับนึ่ง เจอถาดสำหรับนึ่งใบหนึ่ง เธอทาน้ำมันในถาดเล็กน้อย นำแป้งที่ผสมไว้ลงไปในถาดแล้วกดให้แน่น จากนั้นโรยงาขาวไว้ด้านบนเพื่อให้มีรสชาติหอม ก่อนจะนำไปนึ่งด้วยไฟแรงอีกประมาณ 30 นาที
ระหว่างจัดการทุกอย่าง เผือกนึ่งที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ก็สุกพอดี กลิ่นหอมฟุ้งออกมาจากหม้อนึ่งเมื่อเปิดฝาออก ลู่เจียวหยิบเผือกนึ่งขึ้นมาแล้วตักใส่จานยื่นให้ลูก
"กินรองท้องไปก่อนนะ อีกไม่นานเผือกนึ่งทรงเครื่องจะเสร็จแล้ว ตอนนั้นจะอร่อยกว่านี้อีกแน่!" ลู่เจียวบอกลูก ๆ ด้วยรอยยิ้ม
เด็กทั้งสองรับจานเผือกจากเธอพร้อมรอยยิ้มกว้าง พวกเขาเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย มองดูพวกเขาด้วยความรู้สึกดีใจ ไม่มีอะไรทำให้มีความสุขมากไปกว่าการเห็นลูกมีความสุขแบบนี้ เมื่อจัดการกับพวกเขาเสร็จ ลู่เจียวก็ตักเผือกนึ่งมากินบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าเผือกจะอร่อยขนาดนี้ ทั้งที่มันเป็นแค่เผือกนึ่งธรรมดา
กินเผือกนึ่งจนพอใจค่อยลุกขึ้นไปทำความสะอาดห้องครัว เอาจานชามไปล้าง เผือกทรงเครื่องในหม้อนึ่งก็ยังคงส่งกลิ่นหอมออกมา เธอหันไปมองหม้อนึ่งที่ตั้งอยู่บนเตาด้วยความรู้สึกว่าเหลือเวลาอีกไม่นานมันคงจะสุก จึงล้างมือแล้วเดินออกไปหยิบผ้าห่มเก่าที่ใช้นอนเมื่อคืน นำไปตากแดด
"ซีซวน ชิงอี ช่วยแม่หน่อยได้ไหม?" ลู่เจียวพูดขณะพับผ้าห่ม
ซีซวนและชิงอีลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบหยิบผ้าห่มของตนเอง ช่วยเธอหอบออกไปตากแดดนอกบ้าน แดดเช้านี้กำลังดี มีลมพัดเบา ๆ พอให้ผ้าห่มที่เปียกชื้นจากอากาศหนาวแห้งเร็วขึ้น
"เก่งมากลูก วันนี้ลูกช่วยแม่ได้เยอะเลย" ลู่เจียวเอ่ยชมลูก ๆ ด้วยรอยยิ้ม
"แม่จะให้พวกเราช่วยอีกไหมครับ?" ซีซวนถามพลางด้วยความกระตือรือร้น
"งั้นช่วยแม่ถูพื้นหน่อยดีไหม?" ลู่เจียวบอกพลางยิ้มไปด้วย เด็ก ๆ ก็พยักหน้าอย่างเต็มใจ
พวกเราทั้งสามช่วยกันทำความสะอาดบ้าน เด็ก ๆ ใช้ไม้ถูพื้นเดินไปทั่วห้อง ขณะที่ลู่เจียวเก็บกวาดสิ่งของอื่นในบ้าน เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในครัวเพื่อดูเผือกทรงเครื่อง
ลู่เจียวรีบยกหม้อนึ่งลงจากเตา และนำถาดเผือกทรงเครื่องออกมาวางบนโต๊ะ เด็ก ๆ ที่นั่งรอลุ้นอยู่รีบเข้ามาดูด้วยความตื่นเต้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเผือกทรงเครื่องที่สุกพอดีลอยกระจายไปทั่วห้องครัว
"กลิ่นมันหอมจังเลยค่ะแม่!" ชิงอีกล่าวพลางสูดจมูก ท้องของหล่อนร้องขึ้นเสียงดัง ชิงอีเอามือกุมท้องแล้วหันมามองแม่ด้วยสีหน้าอาย ๆ
ลู่เจียวยิ้ม "อดใจรอนิดเดียวนะชิงอี มันยังร้อนอยู่เลย"
"แม่ครับ ดูแล้วน้องสาวคงรอไม่ไหวแล้ว" ซีซวนพูดพลางมองหน้าน้องสาว "แต่มันร้อนมากนะ ต้องรอให้เย็นลงก่อน"
ลู่เจียวนั่งมองพวกเขารอเผือกทรงเครื่องหายร้อนอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมของเผือกผสมกับกุนเชียงและกุ้งแห้งทำให้ท้องของพวกเธอต่างหิวไปตาม ๆ กัน
แต่ทันใดนั้น เสียงแผดตะโกนดังมาจากนอกบ้าน ลู่เจียวชะงักเมื่อได้ยินเสียงและรู้ทันทีว่าใครกำลังเดินเข้ามา
"ลู่เจียว! ทำอะไรอยู่ในบ้าน กลิ่นอะไรหอมออกมาถึงข้างนอก?" เสียงนั้นเป็นเสียงของแม่สามี แม่เลี้ยงของกัวหยาง ลู่เจียวเงยหน้ามองลูกที่นั่งเงียบไปทันที
เธอลุกขึ้นเดินไปหน้าบ้าน แม่สามีก็เข้ามาในบ้านอย่างไม่รอช้า จางซูหลินมองไปรอบ ๆ บ้าน เห็นผ้าที่ผึ่งไว้ และเห็นเผือกที่เก็บมาจากป่าเมื่อเช้านี้ ใบหน้าก็บึ้งตึงทันที
"เผือกพวกนี้ ทำไมไม่แบ่งให้บ้านหลัก?" แม่สามีพูดด้วยเสียงอันดัง รู้สึกถึงความไม่พอใจที่ออกมา
"ฉันเก็บเผือกมาได้เองจากป่า และก็ต้องใช้ทำอาหารเลี้ยงลูก ๆ" ลู่เจียวอธิบายอย่างใจเย็น แต่แม่สามีไม่ได้ฟัง
จากนั้นเดินตรงดิ่งไปที่ถาดเผือกทรงเครื่องที่เพิ่งทำเสร็จ กลิ่นหอมลอยมาเข้าจมูกทำให้จางซูหลินหยุดมองถาดนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ก่อนเอื้อมมือไปหยิบถาดเผือกขึ้นมาโดยไม่รอให้ลู่เจียวพูดอะไร
"วางเผือกของฉันลงนะ!" ลู่เจียวรีบพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว พลางรีบคว้าไม้กวาดขึ้นมาชี้ไปที่แม่สามี
จางซูหลินชะงักมือทันทีเมื่อเห็นท่าทางของลูกสะใภ้ นางไม่เคยเห็นลู่เจียวทำแบบนี้มาก่อน สะใภ้คนนี้เป็นคนที่หัวอ่อนและไม่กล้าหือกับแม่สามี ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่แม่เลี้ยงก็ตาม
"วางเผือกของฉันลง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!" เธอพูดเสียงดัง น้ำเสียงแสดงถึงความโกรธอย่างชัดเจน
แม่สามีมองหน้าเธอด้วยความตกใจ "นี่แก กล้าขึ้นเสียงกับฉัน?” จางซูหลินถามด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
ลู่เจียวไม่ถอยและรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากลูกสะใภ้ทำให้จางซูหลินต้องหยุดคิดและรู้ว่าลูกสะใภ้เอาจริง นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนวางถาดเผือกทรงเครื่อง ท่าทางถือดีหายไปกลายเป็นเสียงร้องไห้
"โอ๊ย! ช่วยด้วย! สะใภ้ใหญ่บ้านกัวจะฆ่าฉันแล้ว!" แม่สามีร้องตะโกนเดินออกไปนอกบ้าน พลางทำท่าทางว่าโดนรังแกอย่างหนัก
ลู่เจียวได้แต่ยืนมองด้วยความโมโห เสียงร้องของแม่สามีดังไปทั่วหมู่บ้าน ชาวบ้านที่กำลังเดินผ่านไปมาต่างหยุดชะงัก แล้วเดินเข้ามามุงดูสถานการณ์
"แม่เฒ่ากัวรังแกลูกสะใภ้อีกแล้ว!" เสียงซุบซิบของชาวบ้านเริ่มดังขึ้นขณะที่พวกเขามุงดูเหตุการณ์นี้
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ดีว่าความเงียบสงบของเช้านี้ได้ถูกทำลายลงแล้วโดยแม่สามี ที่ไม่เคยหยุดหาวิธีสร้างปัญหาให้ลู่เจียวเลยแม้แต่วันเดียว
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?