ตอนที่ 2. เพื่อนต่างวัย

เกรย์กลับมาที่โรงพยาบาล เขาไปซื้อไก่ทอดในแคนทีนแล้วถือออกมานั่งกินตรงม้านั่งที่จัดไว้ให้กับญาติผู้ป่วย ตั้งใจว่าจะกินรองท้องก่อนจะไปพบผู้อำนวยการโรงพยาบาล

กินไปได้คำเดียว เขาก็เห็นอะไรแวบ ๆ ผ่านหางตา เมื่อเหลียวมองตาม ก็เห็นเด็กชายชาวเอเชียคนหนึ่ง อายุประมาณสิบขวบ สวมชุดผู้ป่วยในกำลังยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างตู้กดเครื่องดื่ม ท่าทางเหมือนหนีอะไรมา

เกรย์กำลังอ้าปากจะถามออกไป แต่เด็กน้อยก็ยกมือขึ้นทำปากจู๋ส่งสัญญาณให้เขาเงียบ ๆ 

“อ๊ะ! หายไปไหนแล้ว ทำไมไวจัง” พยาบาลคนหนึ่งเดินมาทางที่เกรย์นั่งอยู่ ทำท่าทางหันรีหันขวาง

“หมอเกรย์ สวัสดีค่ะ หายดีแล้วเหรอคะ” พยาบาลถาม

“สวัสดีครับ ค่อยยังชั่วแล้ว นี่ทำอะไรอยู่เหรอครับ” 

“กำลังตามจับตัวคนไข้เด็กอยู่นะคะ เป็นเด็กผู้ชายชาวเอเชียอายุประมาณสิบขวบ เด็กอะไรก็ไม่รู้ ซนมาก ป่วนทั้งหมอและพยาบาลไปทั้งวอร์ดแล้วค่ะ หมอเห็นแกผ่านมาทางนี้ไหมคะ”

เกรย์เหลือบมองไปที่เด็กชายแอบอยู่ ทำท่าจะบอกแต่เขาเห็นเด็กชายส่ายหน้า มองมาที่เขาด้วยสายตาที่อ้อนวอน เขาเลยทำไม่ลง

“ไม่เห็นนะครับ ผมนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้ว คงกลับวอร์ดไปแล้วมั้งครับ ลองไปดูที่วอร์ดอีกทีสิ เผื่อแกจะกลับไปแล้วก็ได้” 

“เห้อ เด็กอะไรไม่รู้ไวยังกะลิง งั้นฉันไปก่อนนะคะ แกดื้อมาก ไม่ยอมกินยาเลยค่ะ นี่เลยเวลาที่กำหนดแล้วด้วย” พยาบาลคนนั้นบ่นอีกนิดหน่อยแล้วก็เดินกลับไปทางเดิม

“ออกมาได้แล้ว ลิงน้อย เราน่ะทำไมไม่ยอมกินยา ไม่กินยาแล้วเมื่อไหร่จะหาย ไม่อยากออกจากโรงพยาบาลไว ๆ?” เขาหันหน้าไปพูดกับเด็กชาย มือวางไก่ทอดลงไปในกล่องกระดาษแล้วหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ

“ขอบคุณพี่ชายหมอมากฮะ ยามันขม ไม่อร่อย อีกอย่างกินไปก็ไม่หายหรอกฮะ ผมไม่ได้ซนเลยนะฮะ มันเหงาจะตาย วัน ๆ มีแค่ระบายสี โน่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ห้ามทำ นี่ก็กินไม่ได้ โน่นก็น้ำมันเยอะ ผมเบื่อจะตายอยู่แล้วฮะ” เด็กชายเดินออกมานั่งลงที่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

“บ่นเป็นคนแก่จริงๆ แล้วชื่ออะไรครับ อายุเท่าไหร่” เกรย์นึกขำกับความขี้บ่นของเด็กน้อยตรงหน้า

“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อหวังลั่วหยาง ชื่อเล่นอาหยาง อายุสิบขวบ แล้วพี่ชายหมอชื่ออะไรฮะ” เด็กชายยื่นมือมาเชคแฮนด์กับเขา

“พี่หมอชื่อ พี่หมอเกรย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะลิงน้อย ชื่อนี้น่าจะเหมาะกับเรามากกว่านะ ซนจริง ๆ” เกรย์ยื่นมือออกไปจับมือกับเด็กชาย 

“โห้ มีไก่ทอดด้วย ขอผมชิมหน่อยได้ไหมฮะ” อาหยางทำตาโตเพราะเพิ่งเห็นไก่ทอดชิ้นโต หน้าตาน่าอร่อย

“อะไรแค่ไก่ทอดก็ทำตื่นเต้นไปได้ แล้วอาหยางป่วยเป็นอะไรครับ อยู่วอร์ดไหน” เกรย์ถามอย่างเอ็นดู 

“พี่พยาบาลไม่ยอมให้ผมกินไก่ทอดฮะ ผมเป็นลูคีเมีย อยู่ตึกเด็ก ห้อง 1312 ฮะ” เด็กชายตอบแต่ตาจ้องไก่ทอดเขม็ง

“อาหยางฟังพี่หมอนะครับ ที่คุณพยาบาลไม่ให้กินเพราะว่ามันไม่ดีต่อโรคที่อาหยางเป็นอยู่ เพราะฉะนั้น พี่หมอก็ไม่อนุญาตให้กินเหมือนกัน เอาล่ะ กลับไปห้องได้แล้ว เดี๋ยวพี่หมอไปส่ง

“แต่ผมอยากกินไก่ทอดจริง ๆ นะฮะ” อาหยางยังต่อรอง

“ได้ งั้นพี่หมอให้กัดหนึ่งคำ แล้วจะพาเราไปส่งที่เตียง ตกลงไหม ถ้าไม่ตกลง หนึ่งคำก็ไม่ได้กิน ว่าไง” 

“ก็ได้ฮะ คำเดียวก็ดีกว่าไม่ได้กินสักคำ” อาหยางบอก เกรย์ได้แต่ยิ้มกับความน่ารักของเด็กชายตรงหน้า

“กินเสร็จแล้วก็ไปกันได้ละ พี่หมอไปส่ง” เกรย์หยิบทุกอย่างทิ้งลงถังขยะ และหยิบกระดาษทิชชูเช็ดมือให้เด็กน้อย ก่อนจะพากันลุกขึ้นเดินตรงไปที่ตึกเด็ก

หลังส่งอาหยางที่ห้องแล้ว พยาบาลที่ไล่ตามอาหยางไปก็เผอิญเข้ามาในห้องพอดี พร้อมกับยาที่เด็กชายต้องกิน  

“พี่ชายหมอ อาหยางไม่อยากกิน มันขม ไม่อร่อยเลย” อาหยางงอแงไม่ยอมกินยา

“ลิงน้อย ไม่กินยาก็ไม่หายนะ เชื่อพี่หมอ กินยาหน่อย เอางี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่หมอเอาหุ่นยนต์ตัวใหญ่ๆ มาให้อาหยางดีไหม แต่ตอนนี้อาหยางต้องกินยานี้ให้หมดก่อน” เขาหลอกล่อเด็กชาย

“อาหยางไม่อยากได้หุ่นยนต์ อาหยางเหงา พี่ชายหมอมาหาอาหยางทุกวันได้ไหม อาหยางชอบพี่ชายหมอ พี่ชายหมอใจดี พี่ชายหมอมาส่งอาหยางเข้านอนได้ไหมฮะ” เด็กชายมองเกรย์ด้วยสายตาวิงวอน

“ได้สิ พี่หมอสัญญาว่าจะมาหาอาหยางทุกวัน มาส่งอาหยางเข้านอน แต่ถ้าวันไหนพี่หมอยุ่ง มีคนไข้เยอะ อาหยางสัญญาว่าจะไม่โกรธพี่หมอนะที่พี่หมอมาหาไม่ได้” หมอหนุ่มตกปากรับคำ แล้วยื่นนิ้วก้อยออกไปพร้อมกับรอคำตอบจากเด็กชาย

“สัญญาฮะ” อาหยางยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับหมอหนุ่ม สายสัมพันธ์เล็ก ๆ ของเพื่อนต่างวัยทั้งสองคนได้เริ่มก่อตัวขึ้น

“ดีมาก งั้นตอนนี้ก็กินยานี่ก่อน และต่อไปต้องกินยาทุกมื้อตามที่คุณพยาบาลเอามาให้ด้วย วันนี้พี่หมอต้องไปเข้าเวรแล้ว เดี๋ยวคืนนี้ถ้าพี่หมอว่าง พี่หมอจะแวบมาหานะ เป็นเด็กดี ห้ามซน เข้าใจไหม” หมอหนุ่มยื่นยาและแก้วน้ำเปล่าให้เด็กชาย รอจนเด็กชายกินยาเสร็จแล้ว เขาจึงรับแก้วน้ำจากเด็กชายมาวางไว้ใกล้กับหัวเตียง ก่อนที่จะลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

“เข้าใจฮะ” อาหยางรับคำอย่างเชื่อฟัง

เกรย์เดินออกจากห้องของอาหยาง เขาตรงไปที่พยาบาลของวอร์ดก่อนจะขอดูข้อมูลของเด็กชาย

หวังลั่วหยาง อายุสิบขวบ ป่วยด้วยโรคลูคีเมีย อาหยางเป็นชาวจีนที่ได้รับทุนการรักษา เพื่อเป็นกรณีศึกษาในการวิจัยการรักษาของโรงพยาบาล ซึ่งแต่ละปีโรงพยาบาลจะให้ทุนการรักษาโรคฟรีกับคนป่วยทั่วโลก แต่ต้องแลกมากับการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการวิจัยและรักษาคนอื่นต่อไปในอนาคต อาหยางเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้มาได้สามปีแล้ว

ย่อหน้าสุดท้ายทำให้หมอหนุ่มถึงกับใจสั่นเมื่อเขาเห็นผลการวินิจฉัยและการรักษาโรคของอาหยางคือ อาหยางเริ่มมีโรคแทรกซ้อน ยาเริ่มใช้ไม่ได้ผล ร่างกายเริ่มไม่ตอบสนองกับยาที่รักษา ตอนนี้เขาเห็นอาหยางเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป ยังยิ้มและหัวเราะได้ปกติ 

แต่เขารู้ว่าโรคที่อาหยางเป็น เป็นโรคที่พร้อมจะทรุดและจากไปได้ตลอดเวลา หกเดือนไม่เกินหนึ่งปีคือระยะเวลาที่เหลือของอาหยาง

หมอหนุ่มปิดแฟ้มรักษาของเด็กชาย เขาเดินกลับมาหาพยาบาลคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง

“พยาบาล คุณดูแลอาหยางมาตลอดสามปีเลยใช่ไหม” เขาถาม

“ใช่ค่ะ หมอเกรย์มีอะไรหรือเปล่าคะ” 

“คุณพอจะเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ว่าปกติเขาเป็นไงบ้าง” 

“อาหยางเป็นเด็กที่ซนและไวมาก ทั้งดื้อและไม่กลัวใคร ฉันยังจำได้ ตอนแรกแกแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ผ่านไปเพียงปีเดียว แกพูดคล่องปรื๋อเลย แกเรียนเก่ง ฉลาด หัวไวค่ะ ไม่งั้นคงไม่ป่วนทั้งหมอและพยาบาลได้ทั้งวอร์ดหรอกจริงไหมคะ”

“อาหยางมีพี่สาวคนหนึ่งอยู่ที่จีน ทุกสองสัปดาห์พี่สาวแกจะโทรศัพท์มาหาอาหยาง วันนั้นแกจะทำตัวเรียบร้อย ไม่ดื้อ ไม่ซน บอกอะไรจะทำตามหมด เพราะไม่งั้นแกจะไม่ได้คุยกับพี่สาว พวกเขาจะคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ พี่สาวอาหยางจะวิดีโอคอลเข้ามาที่ whatsapp ของฉันเองค่ะ”

“แต่แกจะซึมทุกครั้งหลังพี่สาววางสายไป แกคงคิดถึงพี่สาวมาก เห็นว่ามีกันแค่สองคนพี่น้อง พ่อแม่เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว แต่ถึงแกจะซนแค่ไหน พวกเราก็รักแกนะคะ อยู่กันมาตั้งนาน แกคงเหงาน่ะค่ะ พวกเราเข้าใจ”

“ขอบคุณครับ ผมสัญญากับแกว่าจะมาหาทุกวัน มาส่งแกเข้านอน แต่ถ้าผมมาไม่ได้ เดี๋ยวผมจะโทรมาบอกนะครับ” 

“ด้วยความยินดีค่ะหมอ” 

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” 

“เชิญค่ะ”

เกรย์ออกจากตึกเด็กแล้วกลับไปที่แคนทีนอีกครั้ง เขากินเบอร์เกอร์ไปหนึ่งชิ้น ก่อนจะไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาล

“หมอเกรย์ พวกเรามาคุยกันที่นี่ดีกว่า” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเดินนำเขาไปนั่งลงที่เก้าอี้รับแขก

“ผู้อำนวยการเรียกผมมาพบ มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามทันทีที่นั่งลง

“บาดแผลหมอเป็นไงบ้าง”

“ไม่มีอะไรน่าห่วงครับ ผมกลับมาทำงานได้เลย ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวผมค่อยไปพักครับ” 

“ดีแล้ว ไม่ไหวก็พักเวร ให้หมอคนอื่นมาช่วยไปก่อน ที่ผมเรียกคุณมาพบเพราะมีเรื่องให้คุณช่วยนิดหน่อย สัปดาห์หน้าทางโรงพยาบาลรับหมออินเทิร์นเข้ามาใหม่อีกห้าคน ผมอยากให้หมอสอนและฝึกงานรวมถึงประเมินพวกเขาให้ผมหน่อย”

“ท่านครับ ท่านก็ทราบผมไม่ชอบงานแบบนี้ ผมขอถอนตัวได้ไหม งานอีอาร์เหมาะกับผมที่สุดแล้ว แต่ถ้าพวกเขามาฝึกงานที่อีอาร์ผมพอช่วยได้ ลองให้หมอเกร็กรับไปดีไหมครับ หมอเกร็กชอบงานแบบนี้และเขาก็ทำได้ดีด้วย เดี๋ยวผมช่วยหมอเกร็กทำงานอีกทีถ้าเขาต้องไปเทรนหมออินเทิร์น”

“หมอเกรย์คุณนี่ยังไง ผมพยายามผลักดันคุณขึ้นไปเพื่ออนาคต นี่คุณกะจะเอาแค่ตำแหน่งหัวหน้าอีอาร์แค่นั้นเหรอ มักน้อยไปหน่อยไหม” ผู้อำนวยการเอ่ยพลางยกชาร้อนขึ้นดื่ม

“ผมพอใจงานตอนนี้มากครับ ถ้าในอนาคตผมเปลี่ยนใจ ผมจะบอกผู้อำนวยการคนแรกเลยครับ ขอบคุณที่มอบโอกาสและไม่บังคับให้ผมทำในสิ่งที่ไม่ถนัด ผมว่าหมอเกร็กเหมาะสมที่สุดละครับ”

“ตามใจแล้วกัน หมอก็พักบ้างนะ ร่างกายคนไม่ใช่เหล็กที่มันจะไม่สึกหรอ ขอบใจมากนะที่ทำงานทุ่มเทเพื่อโรงพยาบาลมาตลอด”

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง เกรย์เดินไปหาอาหยางที่ห้อง 1312 เด็กชายกำลังงอแงไม่ยอมกินข้าวเย็นพอดี เขาจึงบอกให้พยาบาลออกไปก่อน

“ลิงน้อย ไหนว่าจะไม่ดื้อไง นี่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเองนะ มา พี่หมอเอาข้าวมากินด้วย มากินด้วยกันดีไหม” เขานั่งลงข้างเตียงของเด็กชาย

ชายหนุ่มแกะสลัดไก่ออกมากิน ส่วนอาหยางกินอาหารของโรงพยาบาล ทั้งสองคนคุยกันกะหนุงกะหนิง อาหยางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา เขาพาเด็กชายเข้านอนเวลาทุ่มครึ่ง

“พี่ชายหมอฮะ เล่านิทานให้ฟังหน่อย พี่สาวผมมักเล่านิทานก่อนนอนให้ผมฟังทุกวันเลย” เด็กชายอ้อน

“พี่หมอไม่มีนิทานน่ะสิ ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไร ติดเอาไว้ก่อนได้ไหม ตอนนี้ได้เวลานอนแล้ว ลิงน้อยหลับตาด้วย พี่หมอสัญญาว่าจะกลับไปเมื่ออาหยางหลับแล้ว ตกลงไหม” เขาเอามือปิดลงบนเปลือกตาของเด็กชาย

“ตกลงฮะ” เด็กน้อยรับคำอย่างว่าง่าย

“ฝันดีอาหยาง” บอกแล้วเขาก็ก้มลงจูบหน้าผากเด็กน้อย

“ฝันดีฮะ พี่ชายหมอ”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ