เจียงซินกลับมาถึงบ้านดินหลังเล็กในช่วงที่ตะวันคล้อยต่ำลงแล้ว เธอเหนื่อยล้าจนแทบจะก้าวขาไม่ออก แต่หัวใจกลับพองโตไปด้วยความสำเร็จและความหวัง เธอรีบเข้าไปดูอาการของเจียงห่าวเป็นอันดับแรก เขายังคงนอนหลับอยู่ แต่ใบหน้าที่เคยซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดฝาดจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาให้เห็นแล้ว
"อาห่าว... ตื่นมากินยาก่อน" เธอปลุกน้องชายอย่างนุ่มนวล
เจียงห่าวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นว่าเป็นพี่สาว เขาก็ยิ้มออกมาจาง ๆ "พี่ใหญ่... กลับมาแล้วเหรอครับ"
"กลับมาแล้ว" เจียงซินยิ้มตอบ "พี่เอายากับของอร่อยกลับมาฝากด้วยนะ"
เธอบรรจงแกะห่อยาออกมา จัดการต้มยาจีนตามที่หมอเฒ่าเจ้าของร้านแนะนำอย่างละเอียดทุกขั้นตอน จากนั้นจึงค่อย ๆ ป้อนให้น้องชายดื่มจนหมด แม้รสชาติของยาจะขมจนเจียงห่าวต้องทำหน้าเบ้ แต่เขาก็ยอมดื่มแต่โดยดีโดยไม่มีการงอแงแม้แต่น้อย
หลังจากกินยาเสร็จ เจียงซินก็ยื่นหมั่นโถวขาวลูกใหญ่อวบอิ่มให้เขา "กินนี่สิ จะได้มีแรง"
ดวงตาของเจียงห่าวเบิกกว้างขึ้นทันทีที่เห็นหมั่นโถวสีขาวนวล สำหรับเด็กในชนบทที่คุ้นเคยกับธัญพืชหยาบ ๆ หมั่นโถวที่ทำจากแป้งสาลีขาวบริสุทธิ์คือของกินที่หรูหราที่สุดอย่างหนึ่ง เขาไม่ได้กินมันมานานแค่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว
"นี่... นี่ให้ผมเหรอครับ?" เขาถามอย่างไม่แน่ใจ
"แน่นอนสิ ของเธอลูกหนึ่ง ของพี่ลูกหนึ่ง" เจียงซินตอบพลางยื่นหมั่นโถวส่งให้ถึงมือ
เจียงห่าวรับหมั่นโถวมาถือไว้ด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม เขามองมันสลับกับมองหน้าพี่สาว ก่อนจะค่อย ๆ กัดเข้าไปคำเล็ก ๆ เนื้อแป้งที่นุ่มฟูและรสชาติหวานจาง ๆ ของมันทำให้เด็กชายมีความสุขจนแทบจะร้องไห้ออกมา เขากินอย่างช้า ๆ เหมือนกลัวว่ามันจะหมดเร็วเกินไป
เจียงซินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันใจ นี่คือผลลัพธ์จากความพยายามตลอดทั้งวันของเธอ มันคือความสำเร็จที่จับต้องได้และมีค่ามากกว่าเงินทองใด ๆ
หลังจากกินหมั่นโถวจนหมดและดื่มน้ำตามเรียบร้อยแล้ว เจียงห่าวก็ดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขามองพี่สาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง "พี่ใหญ่... พี่เก่งที่สุดเลย"
คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้หัวใจของเจียงซินอบอุ่นอย่างประหลาด "นอนพักเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว" เธอลูบหัวน้องชายเบา ๆ แล้วจัดผ้าห่มให้เขาเรียบร้อย ไม่นานเจียงห่าวก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูผ่อนคลายและมีความสุข
เมื่อน้องชายหลับไปแล้ว เจียงซินจึงได้มีเวลานั่งพักและทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ อย่างจริงจัง เธอกินหมั่นโถวส่วนของตัวเองเป็นอาหารเย็น ก่อนจะนำเงินที่หามาได้ทั้งหมดออกมานับอีกครั้ง... สามหยวนเก้าสิบเฟิน
เงินจำนวนนี้อาจจะพอให้พวกเขาสองคนพี่น้องประทังชีวิตไปได้อีกหลายวัน แต่แล้วหลังจากนั้นล่ะ?
ความคิดของนักบริหารจัดการวิกฤตเริ่มทำงานอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าความสำเร็จในวันนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น การหาของป่าขายเป็นวิธีการที่ไม่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยความเสี่ยง วันนี้เธอโชคดีที่เจอเห็ดหัวลิง แต่วันพรุ่งนี้หรือวันต่อ ๆ ไปล่ะ? จะมีอะไรรับประกันได้ว่าเธอจะโชคดีแบบนี้อีก? ภูเขาเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งสัตว์ป่าและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อีกทั้งร่างกายของเธอในตอนนี้ก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะทำงานหนักตรากตรำแบบนั้นได้ทุกวัน
ไม่... เธอจะฝากชีวิตของตัวเองและน้องชายไว้กับโชคชะตาไม่ได้
เธอต้องการแหล่งรายได้ที่ "มั่นคง" และ "ยั่งยืน" กว่านี้ เธอต้องการ "ธุรกิจ"
แต่ธุรกิจอะไรล่ะ? ในหมู่บ้านชนบทห่างไกลที่ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าแบบนี้ เธอจะทำอะไรได้บ้าง?
เจียงซินเริ่มวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและตลาดในหมู่บ้านชิงซานอย่างละเอียดเหมือนที่เคยทำกับข้อมูลของบริษัทคู่แข่งในชาติก่อน
ตลาดเป้าหมาย : ชาวบ้านในหมู่บ้านชิงซานและหมู่บ้านใกล้เคียง
กำลังซื้อ : ต่ำมาก รายได้หลักมาจากการทำนาซึ่งเป็นของกองผลิต เงินสดเป็นสิ่งที่หายากและมีค่า ทุกคนใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด
พฤติกรรมผู้บริโภค : คุ้นเคยกับสินค้าและอาหารแบบดั้งเดิม ไม่เปิดรับของใหม่ได้ง่าย แต่ก็โหยหาสิ่งแปลกใหม่เพื่อมาเติมเต็มชีวิตที่จำเจ
คู่แข่ง : ไม่มีคู่แข่งทางการค้าโดยตรง แต่คู่แข่งที่แท้จริงคือ "ความเคยชิน" และ "ความยากจน" ของชาวบ้าน
เมื่อวิเคราะห์มาถึงตรงนี้ เธอก็เริ่มมองเห็น "ช่องว่าง" ทางการตลาดได้อย่างชัดเจน
ชีวิตของชาวบ้านในยุคนี้วนเวียนอยู่กับการทำงานหนักในไร่นาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ อาหารการกินก็ซ้ำซากจำเจ ส่วนใหญ่เป็นธัญพืชหยาบอย่างข้าวโพดหรือมันเทศ กับผักดองเค็ม ๆ เพื่อให้กินข้าวได้เยอะ ๆ เนื้อสัตว์เป็นของหรูหราที่จะได้กินกันเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น ความบันเทิงหรือของกินเล่นแทบจะไม่มีอยู่เลย
นี่คือโอกาสของเธอ!
เธอจะทำ "อาหารว่าง" หรือ "ขนม" ไปขาย!
มันต้องเป็นของกินที่ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ต้อง "แปลกใหม่" และมี "จุดขาย" ที่ชัดเจน ต้องเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นเพื่อควบคุมต้นทุน และต้องมีราคาไม่แพงจนเกินไปเพื่อให้ชาวบ้านตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
ความคิดของเธอพรั่งพรูออกมาเป็นฉาก ๆ เธอจะเริ่มจากอะไรดี? ขนมที่ทำจากมันเทศ? หรือขนมที่ทำจากแป้งข้าวโพด? เธอมีความรู้ด้านโภชนาการและสูตรอาหารจากอนาคตมากมายที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
เธอเริ่มวางแผนธุรกิจฉบับย่อขึ้นมาในใจ
1. สินค้า (Product) : อาหารว่างทำง่าย ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น แต่มีรสชาติหรือรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม ต้องตั้งชื่อให้น่าสนใจและจดจำง่าย
2. ราคา (Price) : ต้องตั้งราคาให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของชาวบ้าน อาจจะเริ่มต้นที่ราคาเพียงไม่กี่เฟินต่อชิ้น เพื่อทำลายกำแพงการตัดสินใจซื้อครั้งแรก
3. สถานที่ (Place) : ลานนวดข้าวใจกลางหมู่บ้าน คือทำเลที่ดีที่สุด เพราะเป็นศูนย์รวมของผู้คน ทุกคนต้องเดินผ่านที่นั่น
4. การส่งเสริมการขาย (Promotion) : ในยุคที่ไม่มีสื่อโฆษณา การ "บอกปากต่อปาก" คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด เธอต้องทำให้สินค้าของเธอเป็นที่พูดถึงให้ได้ อาจจะเริ่มจากการให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านลองชิมฟรีก่อน
เมื่อมีแผนการที่ชัดเจนแล้ว ความมุ่งมั่นของเจียงซินก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง มันอาจจะเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ แค่การขายขนมในหมู่บ้าน แต่เธอรู้ดีว่านี่คือรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับตัวเองและน้องชาย
เธอไม่ได้ต้องการจะเป็นแค่แม่ค้าขายขนม แต่เธอต้องการจะเป็น "นักแก้ปัญหา" ที่เริ่มต้นจากการแก้ปัญหาปากท้องของตัวเอง ก่อนจะขยายไปสู่การแก้ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น
[ดูท่าทางจะเจอทางสว่างแล้วสินะ] เสียงของระบบดังขึ้นมาในหัว [นึกว่าจะมัวแต่ดีใจกับเงินไม่กี่หยวนจนลืมคิดถึงวันพรุ่งนี้ไปซะแล้ว]
"หุบปากไปเลยน่า" เจียงซินตอบกลับไปในใจอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันไม่ต้องการความเห็นของเธอในตอนนี้"
เธอเมินเสียงของระบบแล้วหันไปให้ความสนใจกับแผนการของตัวเองต่อ เธอต้องลิสต์รายการวัตถุดิบที่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มจากตลาดตำบลในครั้งต่อไป แป้ง... น้ำตาล... และอาจจะต้องมีน้ำมันพืชด้วย
ทุกอย่างต้องใช้เงิน... เงินที่เธอมีอยู่ตอนนี้ยังคงน้อยเกินไป
แต่ไม่เป็นไร... อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
เจียงซินมองออกไปนอกหน้าต่างที่ไม่มีกระจก ความมืดภายนอกนั้นสมบูรณ์แบบ แต่ในใจของเธอกลับไม่ได้รู้สึกมืดมนเหมือนวันก่อนอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม... เธอกลับมองเห็นอนาคตที่กำลังรออยู่ได้อย่างชัดเจน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?