ความสำเร็จของการขายขนมครั้งแรกเป็นเหมือนยาชูกำลังชั้นดีที่เติมเต็มพลังใจให้เจียงซินจนเปี่ยมล้น คืนนั้นเธอลงทุนใช้เงินส่วนหนึ่งซื้อข้าวฟ่างและมันเทศเพิ่มเล็กน้อยจากเพื่อนบ้านที่สนิทกัน เพื่อเตรียมผลิต "มันหนึบทองคำ" ล็อตที่สองสำหรับขายในวันรุ่งขึ้น เธอเพิ่มจำนวนการผลิตขึ้นอีกเกือบเท่าตัวด้วยความคาดหวังว่าวันนี้จะขายดีกว่าเมื่อวานเสียอีก
เช้าวันต่อมา เธอยังคงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อลงมือทำขนมอย่างขะมักเขม้น ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เมื่อจัดเรียงขนมสีเหลืองทองลงในตะกร้าสานเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันไปเตรียมข้าวต้มร้อน ๆ ให้กับเจียงห่าว
"วันนี้พี่ใหญ่จะไปขายขนมอีกเหรอครับ?" เจียงห่าวเอ่ยถามขณะนั่งกินข้าวต้มอยู่ที่โต๊ะ อาการของเขาดีขึ้นมากจนเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ใบหน้าเริ่มกลับมามีเลือดฝาดและแววตาก็ดูสดใสขึ้น
"ใช่จ้ะ" เจียงซินตอบพลางลูบหัวน้องชาย "ถ้าวันนี้ขายดีเหมือนเมื่อวาน ตอนเย็นพี่จะซื้อเนื้อหมูมาทำหมูตุ๋นให้กินดีไหม?"
"จริงเหรอครับ!" ดวงตาของเจียงห่าวเป็นประกายวาววับ "ผมอยากกินหมูตุ๋นฝีมือพี่ใหญ่ที่สุดเลย!"
รอยยิ้มและท่าทีดีใจของน้องชายคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดของเธอ เจียงซินกำชับให้น้องชายพักผ่อนอยู่ในบ้านเหมือนเคย ก่อนจะหิ้วตะกร้าขนมที่หนักกว่าเมื่อวานเดินออกจากบ้านด้วยหัวใจที่พองโต
เธอเดินมาถึงลานนวดข้าวด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากเมื่อวาน วันนี้เธอไม่ได้มาด้วยความกังวล แต่มาด้วยความมั่นใจและคาดหวัง เธอเลือกทำเลเดิมใต้ร่มไม้ใหญ่ ปูผ้าลงบนพื้น แล้วค่อย ๆ นำขนมมันหนึบทองคำออกมาจัดเรียงอย่างสวยงาม
แต่แล้ว... เธอก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
บรรยากาศของลานนวดข้าวในเช้าวันนี้มันแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีชาวบ้านเริ่มออกมาจับกลุ่มพูดคุยกันบ้างแล้วเหมือนเคย แต่กลับไม่มีใครหันมามองเธอด้วยความสนใจใคร่รู้เหมือนวันก่อนเลยแม้แต่คนเดียว
ตรงกันข้าม... พวกเขากลับจงใจหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับเธอ
หญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งที่เคยซื้อขนมของเธอไปเมื่อวาน พอเห็นเธอเดินมาถึงก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วหันหลังให้ทันที เด็ก ๆ ที่เคยวิ่งมามุงดูแผงของเธอ วันนี้กลับถูกพ่อแม่ดึงตัวให้ออกไปห่าง ๆ ราวกับว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรคที่น่ารังเกียจ
แผงขนมเล็ก ๆ ของเธอกลายเป็นเหมือนเกาะร้างที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีใครเดินเข้ามาใกล้ ไม่มีใครเอ่ยทักทาย มีเพียงสายตาแปลก ๆ ที่คอยชำเลืองมองมาจากระยะไกล แล้วก็หันไปซุบซิบกันด้วยท่าทีที่ปิดไม่มิด
สัญชาตญาณของนักบริหารจัดการวิกฤตในตัวเจียงซินเริ่มทำงานทันที นี่ไม่ใช่แค่การที่ลูกค้าเบื่อสินค้าเร็วผิดปกติ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน บรรยากาศที่น่าอึดอัดและเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนนี้ บ่งบอกว่ามันต้องมี "อะไรบางอย่าง" เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เธอไม่อยู่
[ดูเหมือนว่าธุรกิจใหม่ของเธอจะเจ๊งตั้งแต่วันที่สองเลยนะ] เสียงของระบบดังขึ้นมาในหัว [ฉันว่าแล้วว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก]
เจียงซินไม่ได้ตอบโต้ เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่หลังแผงขนมด้วยสีหน้าที่เรียบสนิท พยายามไม่แสดงอาการร้อนรนหรือกังวลใด ๆ ออกมาให้ใครเห็น แต่ในใจของเธอกำลังประมวลผลความเป็นไปได้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ใครคือคนปล่อยข่าว? ข่าวลือคือเรื่องอะไร? และเป้าหมายของมันคืออะไร?
เธอไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการหาคำตอบของคำถามข้อแรก... คนเดียวที่จะได้ประโยชน์จากการล้มเหลวของเธอและมีความอาฆาตแค้นเธอมากพอที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น... ป้าจางกุ้ยฟาง
แต่ข่าวลือคือเรื่องอะไรกันแน่? มันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากพอที่จะทำให้ชาวบ้านที่ได้ลองชิมขนมของเธอไปแล้วเมื่อวาน เปลี่ยนท่าทีไปได้ขนาดนี้
และในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ร่างของหลี่ปิงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในลานนวดข้าว แต่คราวนี้ใบหน้าของเพื่อนสนิทไม่ได้มีรอยยิ้มร่าเริงเหมือนอย่างเคย ตรงกันข้าม... มันกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ซินซิน! แย่แล้ว! แย่แล้วจริง ๆ!" หลี่ปิงวิ่งตรงเข้ามาหาเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งโกรธและร้อนรน "เธอรีบเก็บของแล้วกลับบ้านไปก่อนเถอะ! อย่าเพิ่งขายเลยวันนี้!"
"เกิดอะไรขึ้นเหรอปิงปิง? ใจเย็น ๆ แล้วค่อย ๆ พูด" เจียงซินพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบอย่างน่าประหลาด ซึ่งมันยิ่งทำให้หลี่ปิงรู้สึกร้อนใจมากขึ้นไปอีก
"จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง!" หลี่ปิงพูดเสียงดัง "ก็ป้าจางน่ะสิ! ยัยป้าใจร้ายนั่น! ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ เธอเดินไปพูดกับคนนั้นทีคนนี้ที บอกไปทั่วเลยว่าขนมของเธอน่ะสกปรก!"
"สกปรกเหรอ?" เจียงซินทวนคำ
"ใช่! เธอปล่อยข่าวลือไปทั่วเลยนะว่าเธอเอามันเทศเน่า ๆ ที่คนอื่นเขาจะเอาไปทิ้งมาทำขนม แล้วก็ทำในครัวที่สกปรกยิ่งกว่าคอกหมูเสียอีก!" หลี่ปิงเล่าอย่างใส่อารมณ์ "ที่ร้ายที่สุดคืออะไรไหม? เธอโกหกว่าเมื่อวานนี้มีเด็กสองสามคนที่กินขนมของเธอเข้าไปแล้วกลับบ้านไปท้องเสียอย่างรุนแรงตอนกลางคืน! ตอนนี้ชาวบ้านเขาเชื่อกันไปหมดแล้ว! ไม่มีใครกล้าซื้อของของเธออีกแล้วล่ะ!"
ในที่สุดภาพทั้งหมดก็ต่อกันเป็นจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์
เจียงซินเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดในทันที นี่คือการโจมตีที่โหดเหี้ยมและคำนวณมาเป็นอย่างดี จางกุ้ยฟางไม่ได้แค่ปล่อยข่าวลือลอย ๆ แต่สร้างเรื่องราวที่น่าเชื่อถือและจับต้องได้ขึ้นมา "เด็กท้องเสีย" คือคำพูดที่ทรงพลังที่สุด มันสามารถทำลายความน่าเชื่อถือของสินค้าประเภทอาหารได้อย่างสิ้นซาก
นี่คือ "วิกฤตด้านชื่อเสียง" ครั้งแรกของเธอ
"แล้วเธอมัวมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า! รีบไปอธิบายให้พวกชาวบ้านเขาสิ! บอกไปเลยว่าป้าจางโกหก!" หลี่ปิงเขย่าแขนเธออย่างร้อนใจ
แต่เจียงซินกลับส่ายหน้าช้า ๆ แววตาของเธอยังคงนิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
"ไม่มีประโยชน์หรอกหลี่ปิง" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ "ในสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งฉันออกไปปฏิเสธเสียงดังเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดูเหมือนคนร้อนตัวมากขึ้นเท่านั้น ชาวบ้านที่กำลังเชื่อข่าวลืออยู่แล้ว ก็จะยิ่งปักใจเชื่อว่าฉันกำลังพยายามแก้ตัว"
"แล้ว... แล้วจะทำยังไงล่ะ? จะปล่อยให้ยัยป้านั่นใส่ร้ายเราอย่างนี้เหรอ?" หลี่ปิงถามอย่างไม่เข้าใจ
เจียงซินไม่ได้ตอบคำถามนั้น สายตาของเธอกวาดมองไปที่กลุ่มชาวบ้านที่ยังคงจับกลุ่มซุบซิบและชำเลืองมองมาที่เธอเป็นระยะ ๆ เธอมองเห็นความกลัว ความรังเกียจ และความไม่ไว้วางใจในสายตาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
เธอตระหนักในทันทีว่าสนามรบของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ใช่แค่การแข่งขันทางธุรกิจอีกต่อไป แต่มันคือ "สงครามข่าวสาร"
และในสงครามแบบนี้... การปฏิเสธไม่ใช่ทางออก แต่การ "พิสูจน์" ต่างหากคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด
เธอต้องหาทางพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นด้วยตาของตัวเองว่าขนมของเธอ "สะอาด" และ "ปลอดภัย" และต้องทำในลักษณะที่น่าเชื่อถือมากพอที่จะทำลายข่าวลือของจางกุ้ยฟางให้พังพินาศลงไปในคราวเดียว
ความคิดในหัวของเธอเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว แผนการตอบโต้ที่ซับซ้อนและต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสมเริ่มก่อตัวขึ้นทีละขั้นตอน
"ไม่ต้องห่วงหรอกหลี่ปิง" เจียงซินหันมาพูดกับเพื่อนสนิทของเธอ ในที่สุดรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอเป็นครั้งแรก "ฉันมีวิธีจัดการแล้ว"
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?