สองวันต่อมา คือวันที่เจียงซินรอคอย เธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเตรียม "สินค้า" ล็อตแรกของเธออย่างพิถีพิถัน ขนมมันเทศที่เธอตั้งชื่อให้มันอย่างง่าย ๆ ว่า "มันหนึบทองคำ" ถูกผลิตขึ้นมาเกือบร้อยชิ้น แต่ละชิ้นมีขนาดพอดีคำและถูกนาบบนกระทะจนมีสีเหลืองทองน่ากิน เธอทดลองปรับปรุงสูตรเล็กน้อยโดยการผสมแป้งข้าวฟ่างลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ผิวนอกมีความกรอบมากขึ้น และยังได้เริ่มเพาะข้าวฟ่างงอกชุดแรกตามที่วางแผนไว้ในไหดินเผาหลังบ้านอีกด้วย
เช้าวันนี้ เธอตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อเตรียมการขั้นสุดท้าย เธอจัดเรียงขนมมันหนึบลงในตะกร้าสานใบใหญ่ที่ขอยืมมาจากป้าหวังข้างบ้านอย่างสวยงาม โดยใช้ใบตองที่หาได้จากหลังบ้านรองเป็นชั้น ๆ เพื่อไม่ให้ขนมติดกันและดูสะอาดตาน่ากินยิ่งขึ้น เธอมองผลงานของตัวเองด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญ หากวันนี้ประสบความสำเร็จ มันจะเป็นการเปิดประตูสู่เส้นทางธุรกิจของเธอ แต่ถ้าล้มเหลว... เธอก็ต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
หลังจากดูแลให้เจียงห่าวกินข้าวต้มและยาเรียบร้อยแล้ว เธอก็กำชับเขาให้อยู่แต่ในบ้านและห้ามออกไปไหนเด็ดขาด อาการของเจียงห่าวดีขึ้นมากในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาสามารถลุกเดินไปมาในบ้านได้แล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงอ่อนเพลียอยู่
"พี่ใหญ่จะไปไหนเหรอครับ?" เจียงห่าวถามด้วยความเป็นห่วง
"พี่จะเอาขนมไปขายที่ลานนวดข้าว เดี๋ยวก็กลับแล้ว" เจียงซินตอบพลางลูบหัวน้องชายเบา ๆ "อยู่ที่นี่ดี ๆ นะ อย่าดื้อล่ะ"
"ครับ" เด็กชายพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย แววตาของเขามีความเชื่อมั่นในตัวพี่สาวอย่างเต็มเปี่ยม
เจียงซินหิ้วตะกร้าขนมเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังลานนวดข้าวซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้างใจกลางหมู่บ้าน ที่นี่คือศูนย์กลางทางสังคมของชาวบ้านทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การตากผลผลิตทางการเกษตร หรือแม้แต่การนินทาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นที่นี่เสมอ
เมื่อเธอไปถึง ก็มีชาวบ้านบางส่วนเริ่มจับกลุ่มคุยกันอยู่บ้างแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพวกผู้หญิงและคนชราที่ว่างเว้นจากการทำงานในไร่นา เจียงซินเลือกทำเลตรงใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ผู้คนมักจะมานั่งพักกัน เธอปูผ้าสะอาดผืนหนึ่งลงบนพื้นดิน แล้วค่อย ๆ นำขนมมันหนึบทองคำออกมาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
การกระทำของเธอเรียกสายตาของชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นได้ในทันที พวกเขามองมาที่เธอด้วยความประหลาดใจและสงสัย เด็กกำพร้าอย่างเจียงซินที่ปกติจะเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน กำลังทำอะไรที่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านนี้ทำมาก่อน...อย่างการตั้งแผงขายของ
ไม่มีใครเดินเข้ามาถามหรือให้ความสนใจอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่ทำเพียงแค่มองมาจากระยะไกลแล้วซุบซิบกันเบา ๆ เจียงซินรู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านั้น มันเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย บางสายตาก็เจือปนไปด้วยความสมเพชเวทนา เธอรู้ดีว่าในความคิดของพวกเขา เธอคงเป็นแค่เด็กน่าสงสารที่กำลังดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดอย่างน่าสมเพช
[ดูท่าทางจะเปิดตัวได้ไม่สวยเท่าไหร่เลยนะ] เสียงของระบบดังขึ้นมาในหัว [ฉันว่าเธอน่าจะเอาขนมพวกนี้ไปแลกกับมันเทศยังจะดีซะกว่า]
เจียงซินเมินเสียงของระบบ เธอยังคงนั่งนิ่ง ๆ อยู่หลังแผงขนมของเธอด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง เธอรู้ดีว่าการเรียกร้องความสนใจด้วยการตะโกนโหวกเหวกไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสินค้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก สิ่งที่เธอต้องทำคือรอ... รอ "ลูกค้าคนแรก" ที่จะมาทำลายกำแพงความไม่ไว้วางใจนี้ลง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชาวบ้านเริ่มมาที่ลานนวดข้าวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครเดินเข้ามาที่แผงขนมของเธอเลยแม้แต่คนเดียว เจียงซินเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี ความมั่นใจที่เคยมีเริ่มสั่นคลอน หรือว่าเธอจะคิดผิด? หรือว่าแผนธุรกิจของเธอจะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม?
และในขณะที่ความกังวลกำลังจะกัดกินหัวใจของเธอนั้นเอง ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในลานนวดข้าว เธอมัดผมเปียสองข้างที่แกว่งไปมาตามแรงวิ่ง สวมเสื้อลายดอกไม้สีสดใสซึ่งดูโดดเด่นกว่าเสื้อผ้าสีทึม ๆ ของคนอื่นในหมู่บ้าน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริงสดใส
หลี่ปิง... เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเจียงซิน (ร่างเดิม)
"ซินซิน! ในที่สุดเธอก็ยอมออกจากบ้านแล้ว!" หลี่ปิงวิ่งตรงเข้ามาหาเธอด้วยความดีใจอย่างไม่ปิดบัง "ฉันได้ยินพวก ป้า ๆ เขาคุยกันว่าเธอมาตั้งแผงขายอะไรที่นี่ ฉันเลยรีบวิ่งมาดูเลย! ว้าว! นี่มันอะไรน่ะ? หน้าตาน่ากินจัง!"
หลี่ปิงเป็นลูกสาวคนเล็กของผู้ใหญ่บ้านหวัง เธอมีนิสัยร่าเริง ช่างพูดช่างเจรจา และเป็นศูนย์กลางข่าวสารของหมู่บ้านอย่างแท้จริง ที่สำคัญที่สุดคือเธอเป็นเพื่อนที่ดีและจริงใจกับเจียงซินมาโดยตลอด แม้ว่าเจียงซินคนเดิมจะมีนิสัยเงียบขรึมและไม่ค่อยพูดจาก็ตาม
"ฉันทำขนมมาขายน่ะ" เจียงซินตอบพลางยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนสนิท
"ขนมเหรอ? จริงสิ! เธอทำเองทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย? เก่งจัง!" หลี่ปิงพูดด้วยความตื่นเต้น "แล้วมันเรียกว่าอะไรล่ะ? ขายยังไง?"
"มันชื่อว่า 'มันหนึบทองคำ' ขายชิ้นละสองเฟินจ้ะ"
"สองเฟินเองเหรอ! ถูกจะตายไป!" หลี่ปิงพูดพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง "งั้นฉันเอาห้าชิ้นเลย! นี่เงินหนึ่งเจียว"
เธอยื่นเหรียญสิบเฟินส่งให้เจียงซิน ก่อนจะหยิบขนมมันหนึบไปห้าชิ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วก็กัดเข้าไปคำใหญ่ทันที
ดวงตาของหลี่ปิงเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ "โอ้โห! อร่อยมาก! ข้างนอกกรอบ ๆ ข้างในนุ่ม ๆ หนึบ ๆ แถมยังหวานกำลังดีอีกด้วย! ซินซิน! นี่เธอไปเรียนทำขนมแบบนี้มาจากไหนเหรอ!"
การแสดงออกที่ดูจะเกินจริงแต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจของหลี่ปิง คือสิ่งที่เจียงซินต้องการที่สุดในตอนนี้
"อร่อยจริง ๆ เหรอปิงปิง?" หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยถามขึ้นด้วยความสนใจ
"อร่อยจริงสิคะป้าหลิว!" หลี่ปิงหันไปตอบอย่างกระตือรือร้น "อร่อยกว่าขนมแป้งทอดที่ตลาดตำบลอีกนะคะ ไม่เชื่อป้าลองซื้อไปชิมดูสิคะ ชิ้นละสองเฟินเอง ถูกจะตายค่ะ!"
การปรากฏตัวและการการันตีจากลูกสาวผู้ใหญ่บ้านผู้เป็นที่รู้จักไปทั่ว ทำให้กำแพงความเคลือบแคลงของชาวบ้านเริ่มพังทลายลง เมื่อมีคนกล้าลองชิมคนแรกและยืนยันว่ามันอร่อยจริง ๆ คนอื่น ๆ ที่มุงดูอยู่ก็เริ่มมีความกล้ามากขึ้น
เด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่กับแม่เริ่มดึงชายเสื้อแม่ของเขา "แม่ครับ ผมอยากกิน"
ผู้เป็นแม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าราคาแค่สองเฟินก็ตัดสินใจยอมจ่าย "เอามาชิ้นหนึ่งสิจ๊ะ อาซิน"
เจียงซินหยิบขนมส่งให้เด็กชายคนนั้น เขารับไปแล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย "อร่อย! อร่อยจริง ๆ ด้วยแม่!"
คำพูดของเด็กน้อยคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายกำแพงทั้งหมดลงอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นชาวบ้านก็เริ่มทยอยเดินเข้ามาซื้อขนมของเธอทีละคนสองคน จากหนึ่งชิ้นเป็นสองชิ้น จากสองชิ้นเป็นห้าชิ้น...
หลี่ปิงยังคงทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์กิตติมศักดิ์ได้อย่างยอดเยี่ยม เธอเดินเอาขนมไปให้คนนั้นคนนี้ชิม และป่าวประกาศความอร่อยของมันไปทั่วทั้งลานนวดข้าว
ขนมมันหนึบทองคำเกือบร้อยชิ้นของเจียงซิน ถูกขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง!
เจียงซินมองตะกร้าที่ว่างเปล่าของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ยังคงไม่อยากจะเชื่อ เธอนับเงินที่อยู่ในมือ... เกือบสองหยวน! เธอทำเงินได้เกือบสองหยวนจากการขายขนมเพียงแค่ชั่วโมงเดียว!
มันเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมายของเธอไปมาก
"เห็นไหมล่ะซินซิน! ฉันบอกแล้วว่าขนมของเธอต้องขายดีแน่ ๆ!" หลี่ปิงพูดด้วยความดีใจราวกับเป็นธุรกิจของตัวเอง "พรุ่งนี้เธอต้องทำมาขายอีกนะ! ฉันจะมาอุดหนุนคนแรกเลย!"
เจียงซินมองหน้าเพื่อนสนิทที่ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง หากไม่มีหลี่ปิงในวันนี้ แผนธุรกิจของเธอก็อาจจะล้มเหลวไปแล้วก็ได้
"ขอบใจมากนะ... ปิงปิง" เธอพูดออกมาจากใจจริง
"เรื่องเล็กน่า! เราเพื่อนกันนี่นา!" หลี่ปิงตบบ่าเธอเบา ๆ "เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ลดราคาให้ฉันเป็นพิเศษก็แล้วกัน!"
เจียงซินหัวเราะออกมาเบา ๆ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เธอทะลุมิติมายังโลกใบนี้
มันเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ ความยินดี และที่สำคัญที่สุด... คือความรู้สึกของการมี "มิตรแท้" อยู่เคียงข้าง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?