ตอนที่ 6 : ความรู้ที่ติดตัวมา

ความโกรธแล่นพล่านขึ้นมาในใจของเจียงซิน เธอกำเงินสองหยวนเจ็ดสิบห้าเฟินที่เหลือไว้แน่นจนข้อนิ้วแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ในชาติก่อน เธอคือคนที่คุมเกมการเจรจามาตลอด แต่ตอนนี้เธอกลับถูก "ระบบ" ที่มองไม่เห็นต้อนจนมุมและขูดรีดอย่างเลือดเย็น มันเป็นความรู้สึกที่น่าอัปยศอดสูอย่างที่สุด

[ตกลงจะเอายังไง? จะซื้อข้อมูลต่อไหม?] ระบบเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง ท่วงทำนองของมันยังคงราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ

[ฉันคำนวณความเป็นไปได้แล้ว ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลยภายในหนึ่งชั่วโมง อัตราการรอดชีวิตของน้องชายเธอจะลดลงต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นต์]

คำพูดนั้นเหมือนน้ำเย็นที่สาดเข้ามาบนกองไฟแห่งความโกรธของเธอ เจียงซินสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามระงับอารมณ์และกลับมาใช้ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลอีกครั้ง

ใช่... เธอโกรธ แต่ความโกรธไม่ได้ช่วยให้อาการของเจียงห่าวดีขึ้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาทางช่วยชีวิตเขาให้ได้

เธอเหลือบมองเงินในมือ... สองหยวนเจ็ดสิบห้าเฟิน มันไม่พอจ่ายค่าข้อมูลระดับสามที่ระบบเรียกร้องด้วยซ้ำ ถึงเธอจะยอมจ่ายตอนนี้ก็ทำไม่ได้อยู่ดี

[ฉันสามารถให้เธอ "ผ่อนชำระ" ได้นะ] ระบบเสนอขึ้นมาอีกครั้งราวกับจะหยิบยื่นฟางเส้นสุดท้ายให้ [แน่นอนว่าต้องมีดอกเบี้ย]

ข้อเสนอนั้นยั่วยวนใจอย่างมาก แต่สัญชาตญาณของนักบริหารจัดการวิกฤตกลับร้องเตือนเธอเสียงดัง การเป็นหนี้สิ่งที่เธอไม่รู้จักและไม่เข้าใจ คือความเสี่ยงที่สูงเกินไป

เจียงซินหลับตาลง เธอตัดการสื่อสารกับระบบในหัวและหันมาทบทวนสถานการณ์ทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้งอย่างละเอียด

ข้อมูลที่ได้มาด้วยราคาหนึ่งหยวนบอกว่าเจียงห่าวมีการติดเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหารรุนแรง... นี่คือ "รากของปัญหา"

แนวทางการแก้ไขคือ "ยาปฏิชีวนะ" และ "สารอาหารที่ดูดซึมง่าย"... นี่คือ "เป้าหมาย"

ตอนนี้เธอไม่มีเงินพอที่จะซื้อข้อมูลเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ และถึงจะมี เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะหาเงินห้าหยวนมาจ่ายได้ยังไง

ดังนั้น... เธอต้องเปลี่ยนแผน

ในเมื่อเธอไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย "การรักษา" ได้ในทันที เธอต้องหันมาให้ความสำคัญกับเป้าหมาย "การประคองอาการ" ก่อน

"ภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหาร"

สองคำนี้คือสิ่งที่เธอพอจะจัดการได้ด้วยความรู้ที่มีอยู่ เจียงซินนึกย้อนไปถึงความรู้ทางการแพทย์พื้นฐานที่เคยต้องศึกษาเพื่อรับมือกับวิกฤตโรคระบาดในองค์กรเมื่อชาติที่แล้ว แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เธอก็พอจะจำหลักการสำคัญ ๆ ได้

สิ่งแรกที่ต้องทำคือการชดเชยของเหลวและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่บอกเธอว่า น้ำเกลือแร่ที่สมบูรณ์แบบต้องมีน้ำตาลกลูโคสเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมโซเดียมและน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ปัญหาคือ... บ้านที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกิน จะไปหาน้ำตาลมาจากไหน?

เจียงซินลุกขึ้นยืน เธอเริ่มค้นหาในครัวอีกครั้งอย่างมีความหวัง คราวนี้เป้าหมายของเธอคือ "น้ำตาล" ซึ่งเป็นของมีค่าอย่างยิ่งในยุคนี้ เธอรื้อค้นในไหเครื่องปรุงเก่า ๆ ทุกใบ เปิดดูทุกซอกทุกมุม แต่ผลลัพธ์ก็คือความว่างเปล่า... ไม่มีน้ำตาลแม้แต่เกล็ดเดียว

เธอทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง ความจริงตอกย้ำว่าเธอไม่มีวัตถุดิบพอที่จะทำน้ำเกลือแร่ที่สมบูรณ์ได้

เธอควรจะทำอย่างไร? ล้มเลิกความตั้งใจงั้นหรือ?

ไม่... เจียงซินส่ายหัวกับตัวเอง เธอรู้ดีว่าน้ำเกลือที่ไม่มีน้ำตาลนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ประสิทธิภาพในการดูดซึมอาจจะเหลือไม่ถึงสองในสิบส่วนด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยมันก็ยังสามารถชดเชยเกลือโซเดียมที่ร่างกายสูญเสียไปได้บ้าง และช่วยบรรเทาภาวะขาดน้ำได้เล็กน้อยก็ยังดี

มันคือการ "ยื้อเวลา" ที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ในตอนนี้

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เธอก็กลับไปที่เตาไฟ ต้มน้ำในหม้ออีกครั้งจนเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค จากนั้นจึงรินใส่ชามปล่อยให้มันค่อย ๆ อุ่นลง เธอตักเกลือเม็ดใหญ่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ใช้ด้ามช้อนบดมันจนเป็นผงละเอียดแล้วผสมลงไปในน้ำอุ่น คนจนเกลือละลายจนหมด

เธอได้ "น้ำเกลือแร่" ฉบับพื้นบ้านที่ทำได้ง่ายที่สุดแล้ว

จากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่เตียงของน้องชาย ค่อย ๆ ช้อนศีรษะของเจียงห่าวขึ้นมาวางบนตักของเธออย่างแผ่วเบา "อาห่าว... ดื่มน้ำหน่อยนะ"

เธอใช้ช้อนค่อย ๆ ตักน้ำเกลืออุ่น ๆ ป้อนเข้าปากน้องชายทีละนิดอย่างใจเย็นที่สุด ริมฝีปากที่แห้งผากของเจียงห่าวดูดซับของเหลวเข้าไปอย่างกระหาย แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สติเต็มที่ แต่ร่างกายก็ตอบสนองต่อสิ่งที่มันต้องการโดยสัญชาตญาณ

เจียงซินใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการค่อย ๆ ป้อนน้ำเกลือให้น้องชายจนหมดชาม เธอคอยสังเกตอาการของเขาตลอดเวลา โชคดีที่คราวนี้เขาไม่มีอาการอาเจียนออกมาอีก

หลังจากให้น้ำเกลือเสร็จ เธอก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อช่วยลดความร้อนให้เขาอีกทางหนึ่ง การกระทำทุกอย่างเป็นไปอย่างนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความใส่ใจ

[ทำแบบนี้มันก็แค่ยื้อเวลาเท่านั้นแหละ]

เสียงของระบบดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเธออีกครั้ง

เจียงซินไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เธอยังคงจดจ่ออยู่กับการดูแลน้องชาย เมื่อเช็ดตัวให้เขาเสร็จและจัดให้นอนในท่าที่สบายที่สุดแล้ว เธอจึงค่อย ๆ ตอบกลับไปในใจ

"การยื้อเวลา... คือพื้นฐานของการบริหารจัดการวิกฤต" เธอตอบกลับไปด้วยความเยือกเย็น "ในเมื่อฉันยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลงไปกว่าเดิม และซื้อเวลาให้ตัวเองมากที่สุดเพื่อหาทางแก้ไขที่แท้จริง"

[แหม พูดจาดูมีหลักการเชียวนะ] ระบบตอบกลับมาด้วยท่วงทำนองประชดประชัน [แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะ? นั่งสวดมนต์ขอให้ยาปฏิชีวนะลอยมาจากฟ้าหรือไง?]

"ฉันจะหาเงิน" เจียงซินตอบกลับไปอย่างหนักแน่น การตัดสินใจของเธอชัดเจนแล้ว "ฉันจะหาเงินมาให้ได้มากพอที่จะซื้อทั้งข้อมูลของเธอ ซื้อยา และซื้ออาหารที่ดีที่สุดให้น้องชายของฉัน"

[น่าสนใจ... แล้วเธอจะหาเงินจากที่ไหน? จากการรื้อพื้นบ้านอีกรอบเหรอ?]

"นั่นไม่ใช่เรื่องของเธอ" เจียงซินตัดบทอย่างรวดเร็ว เธอจะไม่ยอมให้ระบบนี้มาชี้นำความคิดของเธออีกต่อไป เธอคือคนคุมเกม ไม่ใช่เบี้ยที่ถูกจับเดิน

เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย การหาเงินในยุคสมัยที่ทุกอย่างขาดแคลนและรายได้หลักมาจากการทำนาที่ถูกควบคุมโดยรัฐนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กสาวกำพร้าคนหนึ่ง

แต่เธอก็คือเจียงซิน... ผู้หญิงที่เคยเปลี่ยนวิกฤตมูลค่าหลายร้อยล้านหยวนให้กลายเป็นโอกาสมาแล้ว

เธอเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากกว่าระบบที่มองไม่เห็นและขี้งกเป็นไหน ๆ

เจียงซินมองไปที่เงินสองหยวนเจ็ดสิบห้าเฟินที่วางอยู่บนโต๊ะ มันคือเงินทุนตั้งต้นทั้งหมดที่เธอมี เธอต้องใช้มันอย่างชาญฉลาดที่สุด

ความคิดในหัวของเธอเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว เธอวิเคราะห์ทรัพยากรที่จับต้องได้รอบตัว... บ้านหลังนี้... ที่ดินรกร้างหลังบ้าน... ภูเขาที่อยู่ไม่ไกล... และตลาดในตำบลที่ผู้คนไปรวมตัวกัน...

ความเป็นไปได้ต่าง ๆ เริ่มผุดขึ้นมาในหัวของเธอทีละอย่าง สองอย่าง สามอย่าง...

ใช่... มันอาจจะยาก อาจจะเหนื่อย และอาจจะต้องเสี่ยง

แต่เพื่อชีวิตของเจียงห่าว... เธอก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ