ตอนที่ 2 : สายใยแห่งความรับผิดชอบ

ขณะที่เจียงซินกำลังยืนประมวลผลความเป็นจริงใหม่ด้วยความคิดที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง การเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากมุมหนึ่งของห้องก็ดึงความสนใจของเธอไป

"พี่ใหญ่... พี่ฟื้นแล้วเหรอ?"

ถ้อยคำนั้นแผ่วเบาและสั่นเครือ แต่สำหรับเจียงซิน มันกลับส่งแรงสั่นสะเทือนเข้ามาในใจอย่างรุนแรง เธอหันขวับไปตามทิศทางนั้นทันที บนเตียงไม้อีกตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ชิดผนัง มีร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเก่า ๆ ที่บางจนแทบจะมองทะลุได้ เด็กชายค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซูบตอบและผิวที่เหลืองซีด ดวงตาของเขาโตเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับใบหน้าที่เล็กนิดเดียว ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความกังวล และความโล่งใจปะปนกันไป

เจียงห่าว... น้องชายวัยสิบขวบของร่างนี้

ความทรงจำเกี่ยวกับเด็กชายคนนี้พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเจียงซินอย่างชัดเจน เขาเป็นเด็กเงียบ ๆ ช่างสังเกต และผูกพันกับพี่สาวคนนี้มาก หลังจากพ่อแม่จากไป โลกทั้งใบของเจียงห่าวก็เหลือเพียงเจียงซินคนเดียวเท่านั้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่ "พี่ใหญ่" ของเขานอนไม่รู้สึกตัว เด็กชายต้องอยู่อย่างหวาดผวาและโดดเดี่ยวในบ้านที่เงียบงันหลังนี้เพียงลำพัง

"พี่ใหญ่... พี่เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมมองผมแบบนั้น?" เจียงห่าวเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นพี่สาวเอาแต่จ้องมองมาที่ตนเองนิ่ง ๆ ไม่พูดไม่จา

คำพูดของเด็กชายดึงสติของเจียงซินกลับมา เธอพยายามปรับสีหน้าและถ้อยคำให้ดูเป็นปกติที่สุด "พี่ไม่เป็นไรแล้ว... แค่ปวดหัวนิดหน่อย"

เธอเดินเข้าไปหาเจียงห่าวช้า ๆ แต่ละย่างก้าวรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อเข้าไปใกล้ เธอก็สังเกตเห็นรายละเอียดที่น่าใจหายมากขึ้น ริมฝีปากของน้องชายแห้งแตกเป็นขุยจนเห็นรอยเลือดซิบ ร่างกายผอมบางยิ่งกว่าเธอเสียอีก เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เก่าและมีขนาดใหญ่เกินตัวไปมากจนหัวไหล่ลู่ตกลงมา

"หิวไหม?" เธอถามพลางยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกจากฝ่ามือบอกเธอว่าหน้าผากของเจียงห่าวมีความร้อนรุ่ม ๆ เหมือนจะมีไข้ต่ำ ๆ

เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ แต่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อท้องที่หดเกร็งกลับฟ้องทุกอย่าง เขาก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาพี่สาว ราวกับว่าการรู้สึกหิวเป็นเรื่องน่าละอาย

ภาพนั้นกระแทกเข้าที่กลางใจของเจียงซินอย่างจัง

ในชาติก่อน เธอคือผู้หญิงทำงานที่ประสบความสำเร็จ มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่มีคือ "ครอบครัว" ที่แท้จริง เธอทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงาน จนกระทั่งพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากโรคชราไปทีละคนโดยที่เธอแทบไม่มีเวลาได้ดูแล ความรู้สึกผิดนั้นเกาะกินใจเธอมาตลอด และตอนนี้... โชคชะตากลับมอบ "ความรับผิดชอบ" ที่เป็นรูปธรรมมาวางไว้ตรงหน้าเธออีกครั้ง

เด็กชายคนนี้คือครอบครัวเพียงคนเดียวที่เธอมีในโลกใบใหม่นี้

สัญชาตญาณของการเป็น "ผู้จัดการวิกฤต" ถูกปลุกขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบ วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องตัวเลขในตลาดหุ้นหรือชื่อเสียงของบริษัท แต่เป็นเรื่องความเป็นความตายของเด็กคนหนึ่งที่เรียกเธอว่า "พี่ใหญ่"

เป้าหมายเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอดของตัวเอง แต่คือการทำให้น้องชายคนนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้

"รออยู่นี่นะ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรให้กิน" เจียงซินพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอลูบหัวน้องชายเบา ๆ เพื่อปลอบโยน ก่อนจะหมุนตัวเดินตรงไปยังส่วนที่กั้นด้วยม่านผ้าป่านเก่า ๆ

เมื่อเธอเลิกม่านขึ้น ภาพที่เห็นก็ทำให้หัวใจของเธอเย็นวาบลงไปอีก มันเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีเตาดินเก่า ๆ ตั้งอยู่หนึ่งเตา ข้าง ๆ เตามีเขียงไม้ที่ใช้งานจนเป็นรอยบากลึก มีดทำครัวขึ้นสนิมวางอยู่หนึ่งเล่ม และชั้นไม้เล็ก ๆ ที่มีเครื่องปรุงเพียงไม่กี่อย่างวางอยู่ คือเกลือเม็ดใหญ่ ๆ กับขวดซีอิ๊วที่เหลือติดก้นขวดเพียงเล็กน้อย

เธอเดินไปเปิดฝาหม้อดินใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตา... ข้างในนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ข้าวสารสักเม็ด

เธอหันไปค้นหาในไหดินเผาที่ใช้เก็บธัญพืชซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง เมื่อเปิดฝาออกก็พบเพียงมันเทศเหี่ยว ๆ ไม่กี่หัวนอนอยู่ที่ก้นไห

นี่คือทั้งหมดที่พวกเขามี... นี่คือเสบียงอาหารสำหรับสองชีวิตที่เพิ่งสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป

เจียงซินกำหมัดแน่น ความรู้สึกสิ้นหวังและโกรธเคืองต่อโชคชะตาพุ่งขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ แต่เธอก็กดมันลงไปอย่างรวดเร็ว อารมณ์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา การวิเคราะห์และลงมือทำต่างหากคือทางออก

เอาล่ะ... ประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง

ปัญหาเร่งด่วนที่สุด : ความอดอยากและอาการป่วยของเจียงห่าว

ทรัพยากรที่มี : มันเทศไม่กี่หัว น้ำจากบ่อส่วนกลาง เกลือเล็กน้อย และความรู้จากอนาคต

เธอต้องทำอะไรสักอย่าง และต้องทำเดี๋ยวนี้

เจียงซินตัดสินใจลงมือทันที เธอเลือกมันเทศหัวที่ดูดีที่สุดออกมาสองหัว ล้างมันอย่างรวดเร็วแล้วนำไปใส่ในหม้อ เติมน้ำจากอ่างดินเผาลงไปพอท่วม ก่อนจะเริ่มลงมือก่อไฟที่เตาดินอย่างทุลักทุเล ความทรงจำของร่างเดิมช่วยให้เธอรู้วิธีทำ แต่ร่างกายที่ไม่คุ้นเคยทำให้การเคลื่อนไหวดูเงอะงะไปหมด

ขณะที่รอน้ำเดือด เธอก็เดินสำรวจบ้านทั้งหลังอย่างละเอียดอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่การมองด้วยความสับสน แต่เป็นการมองด้วยสายตาของนักวิเคราะห์ที่กำลังประเมินสินทรัพย์และหนี้สิน

สินทรัพย์ :

บ้านดินหลังนี้ แม้จะเก่าแต่ก็ยังกันแดดกันฝนได้

ที่ดินผืนเล็ก ๆ ที่ติดอยู่กับตัวบ้าน ซึ่งพ่อแม่ของร่างนี้เคยใช้ปลูกผักสวนครัว แต่ตอนนี้ถูกปล่อยให้รกร้าง

ตัวเธอเอง และความรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้ในหัว

เจียงห่าว... เขาไม่ใช่ภาระ แต่เป็นแรงผลักดันและสินทรัพย์ทางใจที่สำคัญที่สุด

หนี้สิน :

ความยากจนที่จับต้องได้ ไม่มีเงินสดแม้แต่เฟินเดียว

สถานะทางสังคมที่เป็น "เด็กกำพร้า" ซึ่งง่ายต่อการถูกรังแก

ญาติพี่น้องฝั่งพ่อที่ไม่น่าไว้วางใจ... ความทรงจำของร่างเดิมบอกเธอว่าลุงกับป้าจ้องจะฮุบบ้านและที่ดินผืนนี้อยู่ตลอดเวลา

สุขภาพที่ย่ำแย่ของทั้งตัวเธอและน้องชาย

เมื่อลิสต์รายการในใจเสร็จสิ้น แผนการระยะสั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวของเธออย่างรวดเร็ว

ขั้นตอนที่ 1 : จัดการเรื่องอาหารและสุขภาพเฉพาะหน้า ต้มมันเทศให้น้องชายกิน ต้มน้ำสุกให้ดื่มเยอะ ๆ

ขั้นตอนที่ 2 : สำรวจรอบ ๆ บ้านและบริเวณตีนเขาหลังบ้าน เพื่อหาทรัพยากรเพิ่มเติม อาจจะมีพืชผักป่าที่กินได้

ขั้นตอนที่ 3 : หาทางสร้างรายได้ เธอต้องหาเงินให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เงินคือปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้แผนการอื่น ๆ เดินหน้าต่อไปได้

ไอน้ำที่ลอยขึ้นจากหม้อดึงเธอออกจากภวังค์ความคิด เจียงซินเดินกลับไปที่เตา ใช้ไม้ยาว ๆ เขี่ยฟืนให้ไฟอ่อนลง เธอต้องต้มมันเทศให้นิ่มที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้น้องชายที่ป่วยอยู่กินได้ง่าย ๆ

เธอมองเปลวไฟที่ลามเลียก้นหม้อดิน ความร้อนจากมันทำให้ใบหน้าของเธอรู้สึกวูบวาบ ดวงตาของเธอสะท้อนภาพเปลวไฟนั้น ทำให้แววตาที่เคยนิ่งกลับมามีประกายแห่งความมุ่งมั่นอีกครั้ง

ใช่... สถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายราวกับวิกฤตระดับหายนะ แต่เธอก็คือ "เจียงซิน" ผู้จัดการวิกฤตมือหนึ่งไม่ใช่หรือ?

ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ยุคสมัยใด ปัญหาก็คือปัญหา และหน้าที่ของเธอก็คือการ "แก้" มัน

สงครามเพื่อความอยู่รอดของสองพี่น้องในยุค 1985... ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ