เมื่อดวงอาทิตย์ลอยตัวขึ้นเกือบตรงศีรษะ ความร้อนระอุของฤดูร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านชิงซาน แต่ในวันนี้ ดูเหมือนว่าความร้อนจากแสงแดดจะพ่ายแพ้ให้กับความร้อนแรงของความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนไปเสียแล้ว
ลานนวดข้าวที่ปกติในช่วงเวลานี้ของวันจะค่อนข้างเงียบเหงา บัดนี้กลับคึกคักผิดปกติ ชาวบ้านทั้งชายหญิง เด็ก และคนชรา ต่างทยอยกันออกจากบ้านมารวมตัวกันอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ บ้างก็ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันเสียงเบา ๆ บ้างก็นั่งยอง ๆ บนพื้นดิน สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างตรงกลางลาน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกจับจองโดยเด็กสาวกำพร้าที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดของหมู่บ้านไปเสียแล้ว
เจียงซินมาถึงก่อนเวลาเที่ยงตรงเล็กน้อย พร้อมกับตะกร้าสานสองใบที่เจียงห่าวช่วยหิ้วมาอีกแรงหนึ่ง เธอไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนหรือประหม่าเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอกลับดูสงบนิ่งและมีสมาธิอย่างน่าประหลาด ราวกับว่านี่ไม่ใช่การเผชิญหน้ากับวิกฤต แต่เป็นเพียงการทำงานตามปกติของเธอเท่านั้น
เธอเลือกพื้นที่ใต้ร่มไม้ที่ค่อนข้างโล่งและสะอาด ก่อนจะค่อย ๆ นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาจัดวางอย่างเป็นระเบียบราวกับกำลังจัดฉากในโรงละคร โต๊ะไม้ตัวเล็กที่ขัดถูมาอย่างดีถูกตั้งขึ้นเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยเตาดินขนาดพกพาที่เธอขอยืมมาจากป้าหวังข้างบ้าน อ่างดินเผาใบใหม่ เขียงไม้ที่ขาวสะอาด และเครื่องใช้อื่น ๆ ถูกจัดวางอย่างเป็นที่เป็นทาง ทุกอย่างดูเป็นมืออาชีพจนชาวบ้านที่คุ้นเคยกับการทำอาหารแบบง่าย ๆ ในครัวของตัวเองถึงกับมองตาค้าง
หลี่ปิงซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอย่างไม่เป็นทางการ วิ่งวุ่นอยู่กับการจัดแจงให้ชาวบ้านยืนดูอยู่ในระยะที่เหมาะสม “ถอยออกมาอีกหน่อยค่ะป้า เดี๋ยวควันไฟจะเข้าตาเอานะคะ! เด็ก ๆ มาอยู่ข้างหน้านี่เร็ว จะได้เห็นชัด ๆ!”
เมื่อทุกอย่างเข้าที่ เจียงซินก็เริ่มต้น “การแสดง” ของเธอ
“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด ไม่ได้ตะโกน แต่กลับก้องกังวานและดึงดูดความสนใจของทุกคนได้อย่างน่าประหลาด “วันนี้ฉัน... เจียงซิน ต้องขอรบกวนเวลาของทุกคนสักครู่ค่ะ”
เธอกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ สบตากับชาวบ้านทีละคนสองคนอย่างไม่หลบเลี่ยง “ฉันทราบดีว่าในช่วงวันที่ผ่านมา มีข่าวลือที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับขนมที่ฉันทำขาย... มีคนบอกว่าขนมของฉันสกปรก ทำจากวัตถุดิบที่ไม่ดี และอาจทำให้คนกินเจ็บป่วยได้”
เสียงซุบซิบดังขึ้นเบา ๆ ในกลุ่มชาวบ้าน
“ฉันจะไม่พูดแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ” เจียงซินพูดต่อ “เพราะฉันเชื่อว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด ดังนั้นในวันนี้ ฉันจึงอยากจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ว่า ‘ขนมมันหนึบทองคำ’ ที่ทุกคนเคยชิม มีขั้นตอนการทำอย่างไร สะอาดแค่ไหน และปลอดภัยจริงหรือไม่”
พูดจบ เธอก็หันไปหยิบผ้าขาวสะอาดที่ชุบน้ำบิดหมาดขึ้นมาเช็ดมือของตัวเองอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมต่อหน้าทุกคน ก่อนจะเริ่มขั้นตอนแรก
“วัตถุดิบหลักของเราก็คือมันเทศค่ะ” เธอพูดพลางหยิบมันเทศหัวสวยที่เตรียมมาขึ้นโชว์ “มันเทศที่ฉันใช้ คือมันเทศที่ซื้อมาจากไร่ของลุงหลี่ท้ายหมู่บ้าน เป็นมันเทศที่ปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกหัวฉันจะคัดเลือกเองกับมือ ต้องไม่มีรอยช้ำหรือรอยเจาะของแมลง”
จากนั้นเธอก็ใส่มันเทศลงในอ่างดินเผาที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาด แล้วเริ่มลงมือล้างมันเทศทีละหัวอย่างพิถีพิถัน ใช้แปรงเล็ก ๆ ขัดคราบดินที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ออกจนหมดจด น้ำในอ่างถูกเปลี่ยนถึงสามครั้งจนใสสะอาดไร้ซึ่งตะกอนใด ๆ
ภาพที่เห็นทำให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มมองหน้ากันเอง พวกเขาไม่เคยเห็นใครล้างมันเทศได้สะอาดหมดจดขนาดนี้มาก่อน ปกติแค่ล้างน้ำเดียวพอให้ดินหลุดออกก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
“เมื่อล้างสะอาดดีแล้ว เราก็จะนำมาปอกเปลือกค่ะ” เธอใช้มีดที่ขัดจนวาววับค่อย ๆ ปอกเปลือกมันเทศออกอย่างคล่องแคล่ว เผยให้เห็นเนื้อสีเหลืองนวลน่ากิน ก่อนจะนำไปวางเรียงในลังถึงเพื่อเตรียมนำไปนึ่ง
ทุกการกระทำของเธอเป็นไปอย่างเชื่องช้าและชัดเจน เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เห็นทุกรายละเอียด ไม่มีการปิดบัง ไม่มีการซ่อนเร้นใด ๆ
และในจังหวะนั้นเอง... เสียงแหลมสูงที่ทุกคนคุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้นมา
“แหม! ทำเป็นแสดงละครให้ใครดู!” จางกุ้ยฟางเดินแหวกวงล้อมของชาวบ้านเข้ามาด้วยท่าทีหาเรื่องอย่างไม่ปิดบัง เธอกอดอกเชิดหน้ามองเจียงซินด้วยสายตาดูถูก “ใครจะไปรู้ว่ามันเทศที่เอามาทำวันนี้กับมันเทศที่เธอใช้ทำขายเมื่อวันก่อนมันจะเป็นอย่างเดียวกัน! ก็แค่การจัดฉากตบตาชาวบ้านเท่านั้นแหละ!”
ชาวบ้านที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการสาธิตของเจียงซินเริ่มหันไปมองหน้ากันอีกครั้งด้วยความลังเล คำพูดของจาง กุ้ยฟางแทงใจดำพวกเขาไม่น้อย มันเป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครรู้ได้เลยว่าวัตถุดิบที่ใช้ทำขายจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร
หลี่ปิงกำลังจะอ้าปากเถียงแทนเพื่อน แต่เจียงซินกลับยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน
เธอไม่ได้หันไปมองหน้าจางกุ้ยฟางด้วยซ้ำ แต่กลับหันไปทางหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่หลังกลุ่มคน “ป้าหลิวคะ” เธอเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและเต็มไปด้วยความห่วงใย “ฉันได้ยินข่าวจากป้าจางว่าเมื่อวานนี้ อาเป่าลูกชายของป้ากินขนมของฉันเข้าไปแล้วกลับบ้านไปท้องเสียอย่างรุนแรง... ไม่ทราบว่าตอนนี้น้องเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นแล้วหรือยัง? ได้ให้หมอเฉินไปดูอาการแล้วหรือยังคะ?”
คำถามที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้น กลับกลายเป็นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางวงสนทนา สายตาทุกคู่หันขวับไปมองที่ “ป้าหลิว” ทันที หญิงคนนั้นมีสีหน้าซีดเผือด อึก ๆ อัก ๆ พูดไม่ออก เธอไม่คิดว่าตัวเองจะถูกดึงเข้ามาเป็นจุดสนใจของเรื่องนี้
“เอ่อ... คือ...” เธออ้ำอึ้ง มองหน้าจางกุ้ยฟางสลับกับเจียงซินอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าหลิว” เจียงซินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอาเป่ายังไม่หายดี เดี๋ยวพอฉันสาธิตเสร็จ จะรีบไปตามหมอเฉินให้มาดูอาการน้องที่บ้านเลยค่ะ เด็กตัวเล็ก ๆ ท้องเสียเป็นเรื่องใหญ่นะคะ เราจะปล่อยไว้ไม่ได้”
แรงกดดันจากสายตาของชาวบ้านและคำพูดที่ดูเหมือนจะใจดีแต่กลับบีบคั้นอย่างที่สุดของเจียงซิน ทำให้ในที่สุดป้าหลิวก็ทนไม่ไหว “มะ... ไม่เป็นไรจ้ะอาซิน!” เธอรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “อาเป่า... อาเป่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย! เขาสบายดี! เมื่อวานก็แค่วิ่งเล่นซนจนปวดท้องนิดหน่อยเท่านั้นแหละ!”
คำสารภาพนั้นทำให้ทั้งลานนวดข้าวเงียบกริบลงในทันที!
ทุกอย่างชัดเจนแล้ว... เรื่องเด็กท้องเสียเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ!
ใบหน้าของจางกุ้ยฟางเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวในทันที เธอจ้องมองป้าหลิวอย่างกินเลือดกินเนื้อที่ดันมาสารภาพความจริงในเวลาแบบนี้ “นี่แก!”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ เจียงซินก็ชิงพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“อ้าว เหรอคะ” เธอแสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้นก็ดีแล้วค่ะที่น้องไม่ได้เป็นอะไรมาก ฉันก็เป็นห่วงแทบแย่” จากนั้นเธอก็หันกลับมาหาชาวบ้านทุกคนด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม “เอาล่ะค่ะ ในเมื่อทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าวัตถุดิบของฉันสะอาดแค่ไหน และก็ได้ทราบแล้วว่าข่าวลือเรื่องเด็กท้องเสียนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด... เพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาชมในวันนี้ และเพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจกับข่าวลือต่าง ๆ... ขนมมันหนึบทองคำทั้งหมดที่ฉันจะทำในที่นี้... ฉันขอมอบให้เด็ก ๆ ทุกคนในหมู่บ้านชิงซาน... โดยไม่คิดเงินค่ะ!”
คำประกาศนั้นทำให้เด็ก ๆ ที่มุงดูอยู่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ!
ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็มองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความทึ่งในไหวพริบของเจียงซิน ความละอายใจที่เกือบจะหลงเชื่อข่าวลือ และความรู้สึกชื่นชมในความใจกว้างของเธอ
เจียงซินพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอไม่เพียงแต่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้สำเร็จ แต่ยังซื้อใจชาวบ้านและโดยเฉพาะเด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญของเธอไปได้อย่างหมดจด
จางกุ้ยฟางยืนตัวสั่นด้วยความโกรธและความอัปยศ เธอกลายเป็นตัวตลกและคนขี้อิจฉาในสายตาของทุกคนไปเสียแล้ว สายตาดูแคลนและเสียงซุบซิบนินทาที่ดังขึ้นรอบตัวทำให้เธอทนยืนอยู่ต่อไปไม่ไหว
“ฝากไว้ก่อนเถอะนังเด็กเหลือขอ!” เธอตะคอกใส่หน้าเจียงซินเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะเดินกระทืบเท้าแหวกฝูงชนหนีกลับบ้านไปด้วยความเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
เจียงซินมองตามร่างนั้นไปนิ่ง ๆ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับการทำขนมของเธอต่อ เธอนึ่งมันเทศจนสุกนิ่ม นำมาบดผสมกับแป้ง และปั้นเป็นก้อนกลมแบนอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะนำไปนาบบนกระทะร้อน ๆ จนส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วทั้งลานนวดข้าว
เด็ก ๆ ต่างเข้าแถวรอรับขนมกันอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าเล็ก ๆ ของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขเมื่อได้รับขนมอุ่น ๆ ไปไว้ในมือ
เจียงซินมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่พองโต วันนี้เธออาจจะไม่ได้เงินเลยแม้แต่เฟินเดียว แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมานั้นมีค่ามากกว่าเงินทองมากมายนัก... มันคือ “ความไว้วางใจ” และ “ชื่อเสียง” ที่จะกลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับธุรกิจของเธอในอนาคต
โรงละครกลางแจ้งฉากนี้... ปิดม่านลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของเธอ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?