ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา เจียงซินแทบไม่ได้ข่มตาหลับ เธอนั่งเฝ้าดูแลเจียงห่าวอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง คอยป้อนน้ำเกลืออุ่น ๆ ให้เขาทุก ๆ ชั่วโมง และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้เป็นระยะ โชคดีที่ความพยายามของเธอไม่ได้สูญเปล่า แม้ว่าไข้ของเจียงห่าวจะยังไม่ลดลงอย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็ไม่มีอาการอาเจียนอีก และลมหายใจก็ดูสม่ำเสมอขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิด แต่สำหรับเจียงซินในตอนนี้ มันคือความคืบหน้าที่สำคัญที่สุด
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง เธอจึงต้มมันเทศที่เหลืออีกสองหัวจนเปื่อยนิ่ม แล้วบดให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ คราวนี้เจียงห่าวกินเข้าไปได้เกือบครึ่งชามโดยไม่มีปัญหา แม้จะยังอ่อนเพลียมากจนพูดแทบไม่มีแรง แต่การที่ร่างกายของเขายอมรับอาหารได้แล้วก็ทำให้เจียงซินใจชื้นขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
หลังจากดูแลน้องชายจนหลับไปอีกครั้ง เจียงซินก็เริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรังและเต็มไปด้วยความสกปรกจากการเจ็บป่วย เธอเก็บกวาดเศษอาเจียน เปลี่ยนผ้าปูที่นอนผืนเก่าไปซัก และจัดข้าวของที่ไม่เป็นระเบียบให้เข้าที่ การทำงานบ้านอย่างเป็นระบบช่วยให้ความคิดของเธอปลอดโปร่งและมีสมาธิมากขึ้น
ตอนนี้เธอซื้อเวลามาได้แล้ว แต่ก็เป็นเพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เธอต้องรีบหาเงินเพื่อซื้อยาและอาหารที่ดีกว่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ความคิดของเธอวนอยู่กับแผนการต่าง ๆ ที่ร่างไว้เมื่อวาน... การสำรวจภูเขาหลังบ้านเพื่อหาของป่าที่พอจะขายได้ คือความเป็นไปได้อันดับแรกที่เธอต้องลงมือทำ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้วางแผนอย่างละเอียด ประตูไม้เก่า ๆ ที่ปิดไม่สนิทของบ้านก็ถูกผลักเปิดเข้ามาอย่างแรงโดยไม่มีการขออนุญาต หญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งเดินก้าวฉับ ๆ เข้ามาในบ้าน พร้อมกับเด็กชายอายุราวสิบสองปีที่เดินตามหลังมาติด ๆ
จางกุ้ยฟาง... ป้าสะใภ้ของเธอ และเจียงเหว่ย... ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของป้า
ความทรงจำของร่างเดิมเกี่ยวกับคนทั้งสองผุดขึ้นมาในหัวของเจียงซินโดยอัตโนมัติ จางกุ้ยฟางเป็นน้องสาวของแม่สามี มีนิสัยปากร้าย เห็นแก่ตัว และชอบดูถูกครอบครัวของเจียงเจี้ยนกั๋ว (พ่อของเธอ) มาโดยตลอด เพราะอิจฉาที่พี่ชายของสามีเป็นคนขยันและมีภรรยาที่ทั้งสวยและฉลาด ส่วนเจียงเหว่ยก็ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจจนเสียคน มีนิสัยพาลเกเรและชอบรังแกเจียงห่าวอยู่เป็นประจำ
เจียงซินหยุดมือจากการเช็ดโต๊ะ แต่ไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือหวาดกลัวออกมา เธอยืนนิ่ง ๆ มองผู้มาเยือนทั้งสองด้วยสายตาที่เรียบสนิท เป็นการประเมินสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ
"อ้าว อาซิน อยู่บ้านหรอกเหรอ? ป้านึกว่าพวกเธอสองคนพี่น้องอดตายกันไปแล้วซะอีก" จางกุ้ยฟางเอ่ยขึ้นมาเป็นประโยคแรก น้ำเสียงของเธอแหลมสูงและแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง สายตาของเธอกวาดมองไปทั่วบ้านที่แม้จะทำความสะอาดแล้วก็ยังคงดูซอมซ่อ ก่อนจะหยุดลงที่ร่างของเจียงห่าวซึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง "นั่นอาห่าวยังไม่หายป่วยอีกเหรอ? นี่พวกเธอไม่มีอะไรจะกินกันจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย ดูสิ ผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดแล้ว"
เจียงซินไม่ได้ตอบโต้คำพูดถากถางนั้น แต่กลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ป้ามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ? พอดีฉันไม่ค่อยสะดวกต้อนรับแขกเท่าไหร่ อาห่าวกำลังป่วยและต้องการพักผ่อน"
คำพูดที่สุภาพแต่แฝงไปด้วยการขับไล่อย่างชัดเจนทำให้จางกุ้ยฟางชะงักไปเล็กน้อย เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นเด็กสาวร้องไห้ฟูมฟายและอ้อนวอนขอความช่วยเหลือเหมือนอย่างเคย แต่เจียงซินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้กลับดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แววตาที่เคยหวาดกลัวและอ่อนแอ บัดนี้กลับนิ่งสงบจนน่าประหลาด
"แหม ดูพูดจาเข้าสิ" จางกุ้ยฟางเบ้ปาก "ป้าก็แค่เป็นห่วงหรอกนะ เห็นว่าพ่อแม่เพิ่งเสียไป แล้วนี่ยังต้องมาดูแลน้องที่ป่วยอีก คงจะลำบากน่าดู" เธอพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ขึ้น "ว่าแต่... เงินที่พ่อแม่เธอทิ้งไว้ให้คงจะหมดแล้วสินะ แล้วหนี้ที่ยืมป้าไปตอนจัดงานศพอีกห้าหยวนนั่นล่ะ เมื่อไหร่จะคืน?"
ในที่สุดก็เข้าเรื่องจนได้ เจียงซินคิดในใจ หนี้ห้าหยวน... เธอจำได้ลาง ๆ ว่าตอนที่จัดงานศพ ป้าจางกุ้ยฟางเคยยัดเยียดเงินจำนวนนี้ให้โดยที่ไม่มีใครร้องขอ และป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านว่าตนเองมีน้ำใจช่วยเหลือหลานกำพร้า แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือการสร้างบุญคุณเพื่อที่จะได้มีข้ออ้างในการเข้ามาวุ่นวายกับบ้านและที่ดินผืนนี้ต่างหาก
ขณะที่เจียงซินกำลังจะอ้าปากตอบ เจียงเหว่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม่ของเขาก็เหลือบไปเห็นชามมันเทศต้มบดที่วางอยู่บนโต๊ะ ด้วยความเคยชินจากการเป็นเด็กเกเร เขาก็เดินตรงเข้าไปหมายจะหยิบชามนั้นขึ้นมาทันที
"นั่นของอาห่าว" เจียงซินเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบทว่ากลับหนักแน่น
เจียงเหว่ยชะงักมือที่กำลังจะถึงชาม เขามองหน้าเจียงซินอย่างท้าทาย "ก็แล้วจะทำไม? ฉันจะกิน! ไอ้เด็กขี้โรคอย่างมันกินเข้าไปก็เปลืองของเปล่า ๆ" พูดจบเขาก็ทำท่าจะคว้าชามไปจริง ๆ
แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้สัมผัสกับชาม ร่างของเจียงซินก็ขยับไปขวางไว้เสียก่อน เธอไม่ได้ใช้กำลังผลักไส แต่แค่ยืน นิ่ง ๆ ขวางทางเขาไว้เท่านั้น สายตาของเธอที่จ้องมองไปยังเจียงเหว่ยนั้นปราศจากอารมณ์ใด ๆ มันเป็นสายตาที่ว่างเปล่าและเย็นชา เหมือนกำลังมองสิ่งของที่ไม่มีชีวิตชิ้นหนึ่ง
สายตาแบบนั้นทำให้เจียงเหว่ยที่เคยกร่างไปทั่วรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองโดยสัตว์ป่าที่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช่เจียงซินคนเดิมที่เขาเคยผลักจนล้มแล้วหัวเราะเยาะได้ ความกล้าที่เคยมีหดหายไปในทันที เด็กชายก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
"อาเหว่ย! ถอยออกมา!" จางกุ้ยฟางตวาดลูกชาย ก่อนจะหันมามองเจียงซินด้วยสายตาที่ไม่พอใจอย่างยิ่ง "อาซิน! นี่เธอจะทำอะไรลูกชายฉัน! ก็แค่มันเทศถ้วยเดียวจะงกไปถึงไหน!"
"มันเทศถ้วยนี้คืออาหารของคนป่วยค่ะ" เจียงซินตอบกลับไปอย่างใจเย็น "ถ้าเจียงเหว่ยหิว ที่บ้านของป้าก็น่าจะมีอะไรให้เขากินเยอะแยะนี่คะ ไม่จำเป็นต้องมาแย่งอาหารของน้องชายที่กำลังป่วยหรอก จริงไหมคะ"
"นี่เธอกล้าสั่งสอนฉันเหรอ!" จางกุ้ยฟางขึ้นเสียงสูง "อย่าลืมนะว่าตอนนี้พวกเธอไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้ว ถ้าไม่มีญาติพี่น้องอย่างพวกป้าคอยดูแล พวกเธอจะเอาอะไรกิน! ที่ดินผืนนี้ บ้านหลังนี้ ถ้าปล่อยให้เด็กอย่างพวกเธออยู่กันตามลำพัง ไม่นานก็คงถูกคนอื่นมาฮุบไปหมด"
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดข้อเสนอที่เตรียมมาอย่างดี "เอาอย่างนี้แล้วกัน... เพื่อเห็นแก่พ่อแม่ของเธอที่เสียไป ป้าจะยอมลำบากช่วยดูแลบ้านกับที่ดินผืนนี้ให้เอง ส่วนพวกเธอก็ย้ายไปอยู่กระท่อมเก่าท้ายสวนของป้าก็ได้ ถึงจะเล็กหน่อยแต่ก็พอซุกหัวนอนได้ ดีกว่าต้องมาอด ๆ อยาก ๆ อยู่ที่นี่"
ข้อเสนอที่ฟังดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยความเมตตา แต่แท้จริงแล้วคือการขับไล่สองพี่น้องออกจากบ้านของตัวเองอย่างเลือดเย็นที่สุด
หากเป็นเจียงซินคนเดิม คงจะหวาดกลัวและอาจจะยอมทำตามข้อเสนอนี้ไปแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับเจียงซินคนนี้
"ขอบคุณในความหวังดีของป้านะคะ" เจียงซินตอบกลับไปอย่างสุภาพ แต่แววตากลับไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย "แต่ฉันคิดว่าฉันสามารถดูแลน้องชายและสมบัติของพ่อแม่ได้ด้วยตัวเองค่ะ"
"ดูแลตัวเอง? ด้วยอะไร? ด้วยมันเทศเหี่ยว ๆ นั่นน่ะเหรอ?" จางกุ้ยฟางหัวเราะเยาะ "อย่าปากดีไปหน่อยเลยอาซิน เธอยังเด็กนัก ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลกภายนอกหรอก"
"ฉันอาจจะยังเด็ก แต่ฉันก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและอะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้องค่ะ" เจียงซินสวนกลับไปทันที "บ้านหลังนี้และที่ดินผืนนี้เป็นของพ่อแม่ฉัน และตอนนี้มันก็ตกเป็นของฉันกับอาห่าวตามกฎหมาย การที่ป้าจะมาให้พวกเราย้ายออกไป มันไม่ถูกต้องนะคะ"
"กฎหมายเหรอ? เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับกฎหมาย!"
"ฉันอาจจะรู้ไม่มาก แต่ฉันก็รู้ว่าสมบัติของใครก็ควรจะเป็นของคนนั้นค่ะ" เจียงซินยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทุกคำพูดกลับคมกริบเหมือนมีด "ส่วนเรื่องหนี้ห้าหยวน... ฉันจะหามาคืนให้ป้าแน่นอนค่ะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ เพราะตอนนี้เงินทุกเฟินที่ฉันมีต้องเก็บไว้ใช้รักษาอาห่าวก่อน ถ้าป้าเป็นห่วงพวกเราจริง ๆ ก็คงจะเข้าใจใช่ไหมคะ"
คำพูดของเจียงซินแทงใจดำจางกุ้ยฟางอย่างจัง เธออุตส่าห์ป่าวประกาศไปทั่วว่าตัวเองใจดีมีเมตตา ถ้าตอนนี้เธอยังดึงดันจะทวงหนี้จากหลานสาวที่ดูแลน้องชายที่กำลังป่วยหนัก ก็เท่ากับเป็นการบอกทุกคนว่าที่ผ่านมาเธอเสแสร้งมาโดยตลอด
จางกุ้ยฟางโกรธจนหน้าเขียว เธอไม่เคยถูกเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจียงซินยอกย้อนได้อย่างเจ็บแสบขนาดนี้มาก่อน เธออยากจะกรีดร้องและทุบตีเด็กสาวตรงหน้าให้สมกับความโกรธ แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาที่นิ่งสงบและคาดเดาไม่ได้ของเจียงซิน เธอก็รู้สึกเหมือนกำลังพูดอยู่กับผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กสาววัยสิบแปด
"ก็ได้! ฉันจะรอดูว่าเธอจะดูแลน้องชายของเธอไปได้สักกี่น้ำ!" จางกุ้ยฟางพูดทิ้งท้ายอย่างหัวเสีย ก่อนจะคว้าแขนลูกชายแล้วเดินกระทืบเท้าออกจากบ้านไปอย่างไม่พอใจ
เจียงซินมองตามร่างของคนทั้งสองไปจนลับสายตา เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
นี่เป็นเพียงการเผชิญหน้ายกแรกเท่านั้น เธอรู้ดีว่าป้าจางกุ้ยฟางจะต้องไม่ยอมจบเรื่องง่าย ๆ อย่างแน่นอน
สงคราม... ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วจริง ๆ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?