ตอนที่ 11 : บทเรียนสำหรับเด็กเกเร

วันต่อมา หลังจากดูแลให้เจียงห่าวกินยาและอาหารเช้าง่าย ๆ เรียบร้อยแล้ว เจียงซินก็เริ่มต้นลงมือทำตามแผนธุรกิจของเธอทันที สถานที่ปฏิบัติการของเธอก็คือครัวเก่า ๆ ที่มีเพียงเตาดินและเครื่องใช้ไม่กี่ชิ้นนั่นเอง

เป้าหมายแรกของเธอคือการสร้าง "ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ" เธอตัดสินใจที่จะเริ่มจากวัตถุดิบที่หาง่ายและราคาถูกที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือมันเทศและแป้งข้าวโพด เธอมีความทรงจำจากอนาคตเกี่ยวกับขนมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "มันทิพย์" ซึ่งทำจากมันเทศบดผสมกับแป้งและน้ำตาล แล้วนำไปปิ้งหรือทอดจนผิวนอกกรอบ แต่เนื้อในยังคงความนุ่มหนึบเอาไว้ มันเป็นขนมที่ทำง่ายและมีรสชาติอร่อยถูกปากคนทุกเพศทุกวัย

แต่การจะทำขนมในยุค 1985 ที่ทุกอย่างขาดแคลนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอไม่มีกะทิ ไม่มีน้ำตาลทรายขาว และไม่มีแม้แต่น้ำมันพืชสำหรับทอด เธอต้องประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เธอเริ่มต้นจากการนำมันเทศที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อวานไปนึ่งบนเตาดินจนสุกนิ่ม จากนั้นจึงนำมาใส่ในอ่างดินเผาใบใหญ่แล้วใช้ทัพพีไม้บดขยี้มันอย่างสุดกำลังจนเนื้อเนียนละเอียด ระหว่างที่บด เธอก็ค่อย ๆ โรยแป้งข้าวโพดที่พอจะหาซื้อได้ในราคาถูกลงไปทีละน้อย แป้งข้าวโพดจะช่วยให้เนื้อมันเทศจับตัวกันได้ดีขึ้นและมีความหนึบหนับน่ากินยิ่งขึ้น

ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือเรื่องของ "ความหวาน" เธอไม่มีน้ำตาลเหลือเลยแม้แต่เกล็ดเดียว และการจะซื้อน้ำตาลในยุคนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในตอนแรกเธอคิดจะลองเคี่ยวน้ำต้มข้าวฟ่างเพื่อดึงความหวานออกมา แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากอนาคตก็บอกเธอทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ การจะเปลี่ยนแป้งในธัญพืชให้เป็นน้ำตาลนั้นต้องอาศัยเอนไซม์อะไมเลส ซึ่งมักจะมาจากข้าวงอก (Malt) ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่มีทางหาได้ในตอนนี้

แน่นอนว่าในบ้านที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกิน ย่อมไม่มีข้าวงอกสำเร็จรูปเก็บไว้ แต่ความคิดของเจียงซินก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ความรู้ของเธอบอกว่าข้าวงอกนั้นสามารถทำขึ้นเองได้จากการนำธัญพืชเช่นข้าวฟ่างมาเพาะให้งอก ซึ่งจะใช้เวลาราว 3-5 วัน มันไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความหวานในวันนี้ได้ แต่... นี่คือการลงทุนสำหรับอนาคต! เธอตัดสินใจทันทีว่าหากมีข้าวฟ่างเหลือพอเมื่อไร เธอจะแบ่งส่วนหนึ่งมาเริ่มเพาะข้าวงอกทันที เพื่อที่ในอนาคตเธอจะสามารถผลิตน้ำเชื่อมคุณภาพดีของตัวเองได้

เมื่อตระหนักถึงข้อจำกัดในปัจจุบันและวางแผนสำหรับอนาคตเรียบร้อยแล้ว เธอก็เปลี่ยนแผนสำหรับวันนี้ ในเมื่อเธอไม่สามารถ "สร้าง" ความหวานเพิ่มได้ เธอก็ต้องดึง "ความหวาน" ที่มีอยู่ตามธรรมชาติออกมาให้ได้มากที่สุด เธอจึงให้ความสำคัญกับการเลือกใช้มันเทศพันธุ์ที่มีรสหวานจัดเป็นพิเศษ และใช้เทคนิคการนึ่งแทนการต้มเพื่อรักษารสชาติความหวานดั้งเดิมของมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด นี่จะเป็นจุดขายของเธอ... ขนมที่หวานด้วยตัวของมันเอง ไม่ได้ปรุงแต่ง

เธอใช้เวลาเกือบทั้งช่วงเช้าในการทดลองผสมส่วนผสมต่าง ๆ จนได้อัตราส่วนที่พอใจที่สุด เนื้อขนมที่ได้มีสีเหลืองนวลสวยงามและมีความเหนียวนุ่มกำลังดี เธอปั้นมันเป็นก้อนกลม ๆ แบน ๆ ขนาดพอดีคำ แล้วนำไปวางเรียงบนถาดไม้ที่เตรียมไว้

ขั้นตอนสุดท้ายคือการทำให้สุก เธอไม่มีน้ำมันสำหรับทอด เธอจึงเลือกใช้วิธี "นาบ" บนกระทะเหล็กใบเก่า เธอใช้มันหมูชิ้นเล็ก ๆ ที่ซื้อติดมาเมื่อวานถูบนกระทะบาง ๆ พอให้เกิดความมัน จากนั้นจึงค่อย ๆ วางก้อนขนมลงไปทีละชิ้น

ความร้อนจากกระทะทำให้ผิวของขนมค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง เนื้อแป้งด้านนอกกรอบขึ้น ในขณะที่เนื้อในยังคงความนุ่มเอาไว้ เธอต้องคอยควบคุมไฟในเตาดินอย่างระมัดระวังไม่ให้แรงเกินไปจนขนมไหม้

ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับการพลิกขนมในกระทะอย่างตั้งใจนั้นเอง เงาตะคุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ประตูครัว เจียงซินเงยหน้าขึ้นมอง และก็เป็นไปตามที่คาด... เจียงเหว่ยยืนอยู่ที่นั่น

เด็กชายยืนกอดอกพิงกรอบประตู มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและเยาะเย้ยเหมือนเคย วันนี้เขาไม่ได้มากับแม่ แต่ดูเหมือนจะตั้งใจมาหาเรื่องโดยเฉพาะ

"ทำอะไรของเธออยู่น่ะ? ไอ้ของหน้าตาประหลาด ๆ นั่นมันกินได้หรือเปล่า" เขาเอ่ยขึ้นมาเป็นประโยคแรก น้ำเสียงเต็มไปด้วยการหาเรื่อง

เจียงซินไม่ได้ตอบคำถามนั้น เธอยังคงให้ความสนใจกับขนมในกระทะต่อไป ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน

การถูกเมินเฉยทำให้เจียงเหว่ยรู้สึกเสียหน้า เขาก้าวเข้ามาในครัวแล้วเดินตรงมาที่ข้างเตา "ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง!"

"ฉันกำลังทำขนม" เจียงซินตอบกลับไปสั้น ๆ โดยไม่ได้หันไปมองหน้าเขา

"ขนมเหรอ? ฮ่า ๆ ๆ" เจียงเหว่ยหัวเราะออกมาเสียงดัง "นี่เธอคิดจะทำของพรรค์นี้ไปขายจริง ๆ น่ะเหรอ? ใครเขาจะโง่ซื้อของที่เด็กกำพร้าสกปรกอย่างเธอทำกัน"

คำพูดดูถูกนั้นไม่ได้ทำให้เจียงซินรู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เธอกลับมองเห็น "โอกาส" ในการสั่งสอนเด็กเกเรคนนี้ให้หลาบจำ

เธอตักขนมชิ้นที่สุกได้ที่แล้วขึ้นมาวางบนจานใบเล็ก ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเขาเป็นครั้งแรก แววตาของเธอนิ่งสงบ แต่ก็แฝงไปด้วยประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออก

"ใช่ ฉันจะทำไปขาย" เธอพูด "แต่นี่เป็นแค่ขนมต้นแบบที่ยังทำไม่เสร็จดี รสชาติมันอาจจะยัง... แปลก ๆ อยู่หน่อย"

"แปลก ๆ เหรอ? ก็คงจะห่วยแตกเหมือนคนทำนั่นแหละ!" เจียงเหว่ยเยาะเย้ย

"ก็อาจจะใช่" เจียงซินแสร้งทำเป็นถอนหายใจ "ฉันลองชิมดูแล้ว มันยังไม่อร่อยเท่าไหร่เลย สงสัยคงต้องทิ้งทั้งหมดแล้วเริ่มทำใหม่" เธอพูดพลางทำท่าจะหยิบขนมชิ้นนั้นไปทิ้ง

"เดี๋ยวก่อน!" เจียงเหว่ยร้องห้ามขึ้นมาทันที "ไหนเอามาให้ฉันลองชิมดูสิ จะได้รู้ว่ามันห่วยแตกแค่ไหน"

แผนของเจียงซินได้ผล เด็กอย่างเจียงเหว่ยที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ มักจะมีความอยากรู้อยากเห็นและชอบท้าทายอยู่เสมอ การที่เธอบอกว่ามัน "ไม่อร่อย" ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เขาอยากจะลองเพื่อที่จะได้มีเรื่องมาเยาะเย้ยเธอได้มากขึ้น

"อย่าเลยดีกว่า" เจียงซินแสร้งทำเป็นลังเล "ฉันกลัวว่าเธอจะกินไม่ได้น่ะสิ"

"ทำไมฉันจะกินไม่ได้! แค่ขนมก้อนเดียว อย่ามาดูถูกกันนะ!" เจียงเหว่ยยิ่งรู้สึกถูกท้าทายมากขึ้น

"ก็ได้... ถ้าเธอยืนยันจะลองขนาดนั้น" เจียงซินพูดพลางยื่นจานขนมส่งให้ "แต่ฉันเตือนแล้วนะ"

เจียงเหว่ยคว้าขนมชิ้นนั้นไปอย่างรวดเร็ว เขามองมันด้วยสายตาเหยียด ๆ ก่อนจะอ้าปากกัดเข้าไปคำใหญ่เต็มคำ

และในวินาทีนั้นเอง... สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น ปากที่กำลังเคี้ยวอยู่หยุดชะงักงัน ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ก่อนที่เขาจะพ่นทุกอย่างที่อยู่ในปากออกมาพร้อมกับร้องลั่น "แค่ก ๆ ๆ! นี่มันรสชาติบ้าอะไรกันเนี่ย! เค็มปี๋เลย!"

ใช่แล้ว... ขนมชิ้นนั้นคือขนม "ต้นแบบ" ที่เธอตั้งใจทำพลาดจริง ๆ เธอจงใจใส่เกลือลงไปในปริมาณที่มากกว่าปกติหลายเท่า เพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญโดยเฉพาะ

"อ้าวเหรอ? สงสัยฉันจะหยิบผิดไหแน่ ๆ เลย" เจียงซินแสร้งทำเป็นตกใจ "ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเพิ่งกิน"

"นี่เธอแกล้งฉัน!" เจียงเหว่ยตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย เขาวิ่งไปที่อ่างน้ำแล้วรีบวักน้ำขึ้นมาบ้วนปากไม่หยุด

และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงชราข้างบ้านสองสามคนกำลังเดินคุยกันผ่านมาที่หน้าประตูพอดี พวกเธอชะงักเมื่อเห็นสภาพของเจียงเหว่ยที่กำลังทำท่าเหมือนคนกินยาพิษเข้าไป

"อ้าว นั่นอาเหว่ยไม่ใช่เหรอ? เป็นอะไรไปล่ะนั่น?" หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

เจียงเหว่ยทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าแดงก่ำ เขาถูกเจียงซินหลอกให้กินขนมรสชาติประหลาดต่อหน้าคนอื่น มันเป็นความอัปยศที่เด็กที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างเขารับไม่ได้

"ฝากไว้ก่อนเถอะ!" เขาตะโกนใส่หน้าเจียงซินเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะวิ่งร้องไห้ออกจากบ้านไปด้วยความเสียหน้า

เจียงซินมองตามร่างของเขาไปนิ่ง ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มบาง ๆ ให้กับหญิงชราที่ยืนมองอยู่ "ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณป้า พอดีอาเหว่ยเขาอยากลองชิมขนมที่ฉันทำพลาดน่ะค่ะ"

หญิงชรามองหน้ากันอย่างงุนงง แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ พวกเธอเดินจากไปพร้อมกับเรื่องราวใหม่ล่าสุดของหมู่บ้าน... เรื่องที่เจียงเหว่ย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของจางกุ้ยฟาง ถูกเจียงซินแกล้งจนต้องวิ่งร้องไห้หนีไป

เจียงซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ นี่ไม่ใช่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่มันคือการส่งสารเตือนที่ชัดเจน...

ว่าอย่ามายุ่งกับเธอและน้องชายของเธออีก

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ