ตอนที่ 3 คู่ปรับสุดหล่อ

บ้าหน่า!

อีกแค่คืบเดียวชุดอุปกรณ์วาดภาพก็จะเป็นของเธอแท้ๆ พวกไม่ดูตาม้าตาเรือจากไหนมาตัดหน้า ไม่เห็นหรือไงว่ามือเธอยื่นออกมาจวนจะหยิบมันอยู่แล้ว วันนี้มันวันเฮงซวยซ้ำซ้อนอะไรฟร๊ะเนี่ย!

ดวงตาเรียวรูปทรงหยดน้ำเหลียวมองไปยังอีกฝ่าย วันนี้เธอมีเรื่องปวดหัวมาพอแล้ว หญิงสาวจึงกะจะปล่อยผ่านวันมหาเซ็งให้จบลงแค่นี้ ติดที่คนขี้แย่งทำท่าทำทีพอใจเสียจนน่าหมั่นไส้ จารวีถึงกับหัวร้อนขึ้นเสียงใส่

“คุณอีกแล้ว!” เธอก็พึ่งรู้วันนี้แหละว่าโลกนี้มันแสนจะคับแคบมาก เพียงไม่ทันไรเจอมนุษย์ประสาทกินอีกแล้ว

“ใช่ ฉันอีกแล้ว” ภรันภพสวมชุดสูทสีดำทั้งตัว ด้วยส่วนสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรกว่าของเขา ทำให้ราวกับเป็นเงามืดมัวปกคลุมอากาศเหนือศีรษะของจารวี แค่มาดเธอก็เหมือนมดตัวหนึ่งเผชิญกับพญาราชสีห์ มองดูรู้ทันทีว่าเอาชนะไม่ได้

แต่จารวีมีหรือจะถอย ใบหน้าเชิดขึ้นสู้ “คุณจงใจนี่ แค่เพราะฉันหยิบขนมก่อนคุณก็เลยมาเอาคืนแบบเด็กๆ”

“ไม่รู้สิ ของนี่ผมแย่งคุณงั้นเหรอ ผมก็แค่หยิบก่อน ตราบใดที่ไม่มีชื่อคุณแปะจับจองไว้ ผมมีสิทธิ์นะ”

ตระกะเพี้ยนๆกับคนสมองกลับ ไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา คงจะชินจนฝังรากลึกเกินเยียวยาแล้ว

“ไม่มีชื่อฉันแต่มือฉันยื่นออกไปจะจับอยู่แล้ว คุณไม่น่าจะตาบอดก็คงมองเห็นว่าชุดอุปกรณ์วาดภาพนี้คนแจกเขาส่งให้ฉัน มันคนละกรณีกับที่ฉันไปหยิบกล่องขนมก่อนคุณ ตอนนั้นคุณแค่ยืนมองเฉยๆ ฉันจะไปรู้เหรอว่าคุณกำลังเล็งอยู่”

ยอมไม่ได้ ให้ยอมอีกครั้งอกเธอต้องแตกระเบิดเพราะความโมโหแน่ อุตส่าห์ยกขนมให้ลูกชายเขาแต่เขากลับมาหาเรื่องคืนเนี่ยนะ?

“นี่จาดี แกรู้จักเขาเหรอ” ยุวดีขัดขึ้นมาระหว่างสงครามปะทะฝีปาก หนุ่มหล่อสูงยาวเข่าดีคนนี้เป็นคู่กรณีของเพื่อน? เป็นผู้ชายโลกหมุนรอบตัวเองคนนั้นที่พวกเธอรุมด่าไม่เหลือชิ้นดี ก็นึกว่าจะเป็นมนุษย์ลุงเผด็จการเสียอีก

จารวีใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้แนวร่วม “ใช่แล้วยุ เขานี่แหละคนๆนั้น เป็นอย่างที่ฉันเล่าเลยใช่ไหม นิสัยไม่ดีสักนิด”

“ไม่ได้มีอะไรเข้าใจผิดกันแน่นะ” เนตรชนกถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ริมฝีปากหล่อนเม้มแน่นมองเหม่อไปยังภรันภพ

“แกคิดว่าคนอย่างฉันจะหาเรื่องเขาก่อนเหรอ แกน่าจะรู้นะเนตร เพื่อนแกคนนี้มีเหตุผลสุดๆ แล้ว ฮัลโหล! พวกแก?”

จารวีบ่นเหมือนเป็นวันนั้นของเดือนยกใหญ่ ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอยกมือดีดนิ้วเสียงดังเปราะเรียกสติเพื่อนสาวทั้งสองคนซึ่งกำลังมองเหม่อไปยังชายหนุ่ม พลันเอือมระอาอย่างหนักที่พวกหล่อนพ่ายแพ้รัศมีความหล่อจนสติหลุดลอยไปแล้ว

ไม่เพียงแต่ยุวดีกับเนตรชนก ผู้ช่วยประจำส่วนแจกอุปกรณ์วาดเขียนก็มีอาการเดียวกัน รวมถึงผู้ปกครองและคุณครูสาวคนอื่น ทุกคนราวกับว่าได้เจอดารา เล่นเอาจารวีเกือบกระอัก ถ้าพวกเธอรู้ว่าสุดหล่อคนนี้นิสัยสุนัขไม่รับประทานยังจะพากันหลงใหลได้ปลื้มกันอยู่อีกหรือเปล่า เมื่อตัวเองกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ เธอว่าเธอต้องพูดอะไรสักอย่าง ไม่งั้นแพ้ยับ

“คนบางคนน่ะนะ ขี้แย่งชะมัด ไม่ได้แย่งคงนอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง”

“พอเถอะหน่าจาดี เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเล่นใหญ่เลย แกไม่รู้สึกตะหงิดใจสักนิดเหรอว่าออร่าของเขามันไม่ใช่คนธรรมดา ขืนแกยืนกรานเถียงไม่จบไม่สิ้นอาจจะมีผลตามมาก็ได้ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีเถอะ คนมองกันหมดแล้ว”

เนตรชนกแอบกระซิบเตือน ไม่รู้ผีสางจากไหนดลใจให้จารวีสติแตกเถียงคอเป็นเอ็นกับผู้ชายที่ดูใหญ่โตคนนี้ได้ ปกติเพื่อนสาวแยกแยะหนักเบา ใครไม่ควรมีปัญหาด้วยก็จะประเมินหลีกเลี่ยง ไม่เคยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแบบนี้

“พี่จาดีครับ” จอมทัพลงทะเบียนรับป้ายชื่อห้อยคอเสร็จเดินมาหาพี่สาว เขามองไปยังภรันภพและมองสีหน้าบูดบึ้งของจารวี ก็เข้าใจได้ทันทีว่าผู้ใหญ่สองคนนี้ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกแล้ว

ทางด้านนั้นลูกชายของภรันภพก็เดินมาหาผู้เป็นพ่อเช่นกัน ป้ายชื่อสีฟ้าเขียนปากกาเมจิกซ์ว่า ‘น้องภีม’

เด็กน้อยมาร่วมวงจะวิวาทกันต่อก็ใช่เรื่องเหมาะสม ภรันภพเจียดหางตามองใส่จารวีก่อนจะยื่นอุปกรณ์วาดภาพในมือส่งให้ลูกชาย ส่วนจอมทัพก็แจ้งกับคุณครูแจกอุปกรณ์เอาอันใหม่ เด็กสองคนเดินตามกันไป จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงข้างกัน ศึกสงครามครั้งนี้จึงยุติไปดื้อๆ ส่วนตัวภรันภพหมุนกายสูงเดินออกไปจากตรงนั้น ไม่อยากจะใส่ใจผู้หญิงขี้โวยวายอีก

เขาคาดเดาว่าหล่อนเป็นเด็กสาวอายุ 17-18 ปี ไม่เพียงใบหน้าอ่อนเยาว์ ยังไร้สัมมาคารวะ ท่านประธานใหญ่รู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างถึงที่สุด

ไม่เพียงเถียงตาตั้งกับผู้ใหญ่ยังไม่รู้ที่ยืนของตนเอง ทำตัวเหิมเกริมจะเอาเรื่องเขา ชีวิตผ่านร้อนหนาวมาสามสิบสองปี ภรันภพพึ่งเคยเจอคนอวดดีเช่นหล่อน และนี่ก็เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากเอาชนะแบบเด็กๆ เขาจึงจงใจไปแย่งอุปกรณ์วาดภาพกับเธอ ให้หญิงสาวลิ้มรสการโดนตัดหน้าบ้าง ซึ่งมันก็จบลงที่เขาชนะทั้งสองรอบ

ภรันภพรู้สึกว่าตนช่างไร้สาระ แต่ก็เผลอกระตุกมุมปากแสยะยิ้มพึงพอใจเมื่อนึกถึงใบหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมของคู่กรณี ตราบใดที่แคมป์ศิลปะนี้ยังไม่สิ้นสุด เขาคงได้ปะทะกับหล่อนซ้ำอีก

เวลาเดียวกันทางฝ่ายจารวี บรรยากาศหลังจากชายหนุ่มเดินห่างออกไปเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เพราะเนตรชนกพึ่งจะนึกได้ว่าคู่กรณีสุดหล่อของเพื่อนเป็นใคร เธอมัวแต่ตะลึงพรึงเพริศในหน้าตาฟ้าประทานของอีกฝ่าย ไม่ทันนึกให้ดี ครั้นใคร่ครวญได้ก็เขย่าจารวีจนตัวสั่นเทิ้ม

“นั่นมัน นั่นมันคุณภรันภพ แกเอ๊ย! เขาคือคุณภรันภพ” เนตรชนกพูดชื่อชายหนุ่มซ้ำๆ ราวกับเครื่องรวน

“โอ๊ย! ยัยเนตร อะไรของแกเนี่ย! ข้าวเช้าฉันจะขย้อนออกมาทางเดิมแล้ว” จารวีเริ่มจะเห็นดาววิ้งๆ

“ก็ผู้ชายหล่อๆ คนนั้นน่ะเขาคือคุณภรันภพ ถึงไม่ใช่ดาราก็ดังมากในหมู่ไฮโซ โรงเรียนที่ฉันกับแกทำงานได้รับทุนการศึกษาของเขาส่งเด็กเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัยทุกปี จะว่าไงดี เขาคือมหาเศรษฐีที่รวยมากๆ”

เนตรชนกเน้นคำว่ามากๆ เพื่อให้เพื่อนสาวได้ตระหนักถึงความสำคัญของภรันภพ ซึ่งจารวีกับยุวดีก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พวกเธอทำตาโตเป็นไข่ห่านไปแล้ว

“มะ…หมายความว่าเขารวยมากจนสามารถไล่ฉันออกได้เลยใช่ไหม”

“ใช่ เพราะฉะนั้นแกผิดถูกก็ช่าง ต้องไปขอโทษเขาเท่านั้นถึงจะพอจบเรื่องได้ เชื่อฉันนะจาดี คนๆ นี้เราสู้ไม่ไหวหรอก”

ยุวดีพยักหน้ารัว “เห็นด้วย เมื่อกี้แกกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาไม่น้อยเลย ถ้าเอาเรื่อง เส้นทางอาชีพของแกแย่แน่”

“เขารวยมากเลยจริงเหรอ ทำอาชีพอะไรอ่ะ ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน”

เนตรชนกวางมือบนไหล่ของจารวีคล้ายจะปลอบให้เธอเตรียมฟัง “เขาน่ะเป็นเจ้าของบริษัทผลิตยาและมีร้านขายยากระจายอยู่ทั่วประเทศ เขายังเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลธัญเทพที่มีหมอเก่งๆ รักษาได้ทุกโรคนั่นด้วย”

บอกว่าบริษัทยายังไม่ค่อยเห็นภาพ แต่พอบอกว่าเป็นผู้บริหารของโรงพยาบาลเลื่องชื่อจารวีอึ้งจนมืออ่อน

เนตรชนกยังเล่าต่อพร้อมทำหน้าเสียดาย “เขารวยแต่ดวงด้านความรักกลับไม่ค่อยดี ไม่เห็นเหรอว่าเด็กน้อยมากับพ่อแค่สองคน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ฉันก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าแม่ของเด็กเป็นหมอสาวสักคน

แต่ก็ไม่เคยปรากฏตัวออกงานสังคมเลยสักครั้ง นักข่าวสัมภาษณ์ก็เว้นไม่เคยกล่าวถึง เหมือนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนส่วนตัว เห็นเขาแบบนั้นแต่น่าสงสารใช่ไหมล่ะ? พ่อแม่ของเขายังมาประสบอุบัติเหตุไม่ทันได้เห็นหน้าหลานด้วยซ้ำ”

“แย่ขนาดนั้นเชียว” จารวีเริ่มจะเห็นใจคนปากคอเราะร้ายเล็กน้อย

“ไม่เพียงแค่นั้นหรอก น่าสงสารกว่านี้ยังมีอีก เด็กน้อยน่ารักคนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับพัฒนาการด้วย”

จารวีย่นคิ้วมองไปยังเด็กชายภูวฤทธิ์ซึ่งกำลังนั่งวาดรูปอยู่ข้างน้องชายเธอ “ก็ดูปกตินี่ เด็กน้อยวัยนี้เรียนรู้ช้าหน่อยจะเป็นไรไป ที่ดีคือต้องสั่งสมวัยเด็กอันสดใสต่างหาก อีกอย่างรวยเวอร์เกินเบอร์ขนาดนั้น ต่อให้เด็กน้อยไม่เก่งกาจมีหรือพ่อจะปล่อยให้ลำบาก มีเงินมันก็ดีอย่างนี้แหละ”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ