ตอนที่ 7 เด็กน้อยเป็นอัจฉริยะ

เหตุผลเดียวในตอนนี้ที่ทำให้เธอยอมไปกับสองพ่อลูกก็คือหมายจะเกาะขาอาศัยบารมีเขาคุ้มกะลาหัว เผื่อคนรวยพวกนั้นมาหาเรื่อง ไม่มีความคิดผิดแผกอย่างพิศวาสเสน่หาเข้ามาข้องเกี่ยวเด็ดขาด ผู้ชายประเภทภรันภพถึงหน้าตาหล่อเหลาหาคนเทียบเทียมยาก นั่นก็เป็นเพียงปัจจัยตื้นเขินภายนอก

ส่วนเรื่องฐานะเศรษฐี อันที่จริงแล้วไม่มีใครไม่ชอบเงิน ทว่านิสัยเผด็จการเอาแต่ใจและไร้ตรรกะของผู้ใหญ่ท่านนี้เกินเยียวยา ไม่เห็นจะมีตรงไหนน่าเข้าใกล้ เธอไม่ได้ทะเยอะทะยานอยากจับผู้ชายเพื่อยกระดับตัวเองอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่หวั่นไหวต่อเขาสักนิด

ทั้งสี่คนออกจากมหาวิทยาลัยด้วยรถยนต์ส่วนตัวของภรันภพ เด็กน้อยนั่งด้วยกันที่ด้านหลัง ส่วนจารวีต้องมาทำหน้าเหรอหราเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างคนขับ ปกติแล้วน้องภีมควรจะนั่งตรงนี้ พวกเขาพ่อลูกเป็นเจ้าของรถ แต่เจ้าหนูน้อยกลับเลือกจะเปลี่ยนไปนั่งกับน้องชายเธอแทน เพื่อรักษามารยาทแกมไม่มีทางหลบเลี่ยง ตำแหน่งตรงนี้เลยตกมาอยู่ที่เธอ

เดิมทีมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าใหญ่ ถ้าเป็นช่วงที่การจราจรโล่งไม่นานนักก็คงจะได้รับประทานอาหารไปแล้ว ทว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางกลับบ้านของเด็กๆที่ไปเข้าร่วมแคมป์ศิลปะและยังเป็นจุดเปลี่ยนรถของผู้คนวัยทำงาน กว่าจะปลีกตัวออกจากความวุ่นวายก็ล่วงเลยไปถึงสี่สิบห้านาที จารวีรู้สึกอึดอัดจนอยากลงจากรถไปเดินเสียเดี๋ยวนั้น

“สวัสดีค่ะ ทั้งหมดสี่ท่านนะคะ เชิญทางด้านนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มผายมือเชื้อเชิญ

“เอ่อ…” จารวีแอบชำเลืองมองไปยังภรันภพ ร้านที่เขาเลือกมันจะหรูหราหมาเห่าเกินไปหรือเปล่า

“โอ้โห! มีต้นซากุระด้วย ภีมดูสิ อยากถ่ายรูปไปให้แม่ดูด้วยจัง” จอมทัพตื่นเต้นตามประสาคนไม่เคยเห็น

ส่วนภูวฤทธิ์ไม่ได้มีทีท่ากระตือรือร้นมากนัก เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วพาจอมทัพไปถ่ายรูปกับต้นซากุระดื้อๆ เด็กน้อยสองคน คนหนึ่งหน้าตาบ้องแบ้วผิวขาวอมชมพูเหมือนหมูน่ารัก อีกคนผิวขาวเหลืองตัวสั้นคิ้วหนาเข้มขนตาดกฉายแววหล่อเหลาแต่เด็ก ลูกค้ามองมาต่างก็พากันเอ็นดูที่พวกเขาโพสต์ท่าถ่ายรูป ช่างชวนให้อยากขโมยไปเลี้ยงที่บ้าน

สองผู้ใหญ่รอพวกเขาถ่ายรูปเสร็จก็พาขึ้นไปยังชั้นสองของร้านซึ่งเป็นห้องส่วนตัว ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ถ้าจ่ายหนักหน่อยจะสามารถจ้างเชฟมาปรุงอาหารสดๆ ตรงหน้าได้ และแน่นอนว่าคนระดับคุณภรันภพต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

ปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินเนื้อแทรกมันหวานฉ่ำราวกับละลายได้ในปากทำให้จารวีมีความสุขจนน้ำตาจะไหล เธอเป็นคนหยาบๆ อะไรกินแล้วไม่ตายก็ไม่เคยเลือก ขอแค่อิ่มท้องเป็นพอ แต่เมื่อได้ลิ้มลองวัตถุดิบที่สดใหม่และมีรสชาติอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัส ถึงพึ่งได้ตระหนักว่าชีวิตนี้ยังใช้ไม่คุ้ม ชีวิตยังมีอะไรมากกว่านั้น ยังขึ้นสวรรค์ทั้งที่หายใจอยู่ได้

ภรันภพแจ้งเชฟให้ปรุงสุกแยกต่างหากไว้ชุดหนึ่งสำหรับเด็กน้อย เขามองลูกชายกินก่อนที่สายตาจะตกไปอยู่บนใบหน้าสุดฟินของหญิงสาว เธอหลับตา ถ้าไม่บอกว่ากำลังรับประทานอาหารอยู่ เขาคิดว่าตอนนี้เธอคงสูบกัญชาจนลอยไปแล้ว

“อร่อยขนาดนั้นเชียว” คำพูดนี้เอ่ยขึ้น จารวีราวกับโดนปลุกให้ตื่นจากฝัน เธอลืมตาทำท่าอายๆ ก่อนจะพยักหน้า

ก็นะ! เป็นครูโรงเรียนเอกชนชื่อดังเงินเดือนสูงก็จริง แต่ก็ได้แค่เดือนละสองหมื่นห้า พอกินพอใช้ถ้าบริหารให้ดีๆ ทว่ามันยังไม่มากพอที่จะจ่ายไปกับอาหารพรีเมี่ยมมื้อนี้ ยุวดีเคยทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารญี่ปุ่น หล่อนบอกว่าจ้างเชฟมาทำสดๆ โดยเฉพาะจะเสียอย่างต่ำก็มื้อละเกือบหกเจ็ดหมื่นแล้วแต่วัตถุดิบและความยาก

สรุปคือ กินข้าวมื้อละครึ่งแสน เธอไม่ไหว

มื้อนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เธอจะไม่มีวันลืม น้องชายต่อยตีครั้งเดียวได้กินปลาอร่อย ช่างบุญปากแท้

ปลาทูน่าหนึ่งตัวถูกจารวีกินจนเกลี้ยงก็แน่นจนแทบจะกินต่อไม่ไหว ทางเด็กน้อยสองคนไม่ได้สนใจว่าอยากกินของแพง พวกเขาเลือกที่ชอบ พากันแทะกุ้งเทมปุระจนปากมันย่อง ตามด้วยไข่หวานและเน้นหนักไปที่ขนม ส่วนภรันภพ เขากินราเมงเส้นสดไปหนึ่งชามก็เริ่มนั่งดูทั้งสามคนเงียบๆ ไม่ได้แตะต้องอะไร เหมือนกับผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมาเลี้ยง

“ทำขนมใส่กล่องอีกสองชุดนะครับ” ภรันภพแจ้งกับเชฟ พอเชฟลงมือเสร็จเขาก็ส่งให้จารวี

“มะ…ไม่ต้องค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว” เธออิ่มจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว ปลาทูน่าตัวเท่าลูกหมูอยู่ในท้องของเธอ ให้รับไว้อีกก็จะเกรงใจเกินไป มื้อนี้เขาจ่ายไปไม่น้อยแน่ๆ

“เห็นเธอจ้องขนมตาละห้อย ไว้อาหารย่อยค่อยกินสิ เอากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยก็ได้”

จารวีรับมาอย่างกระดากอาย เขาเห็นเหรอว่าเธอไม่แตะต้องขนมหวานเลย ทั้งที่มันน่ากินมากแต่เพราะอิ่มจึงกลืนไม่ได้ เฮ้อ! ยัยจาดี เมื่อเช้าเธอยังแย่งขนมกับเขาอยู่ ทำไมตอนนี้ชายหนุ่มกลับใจกว้างเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล่า

ภรันภพมาส่งสองพี่น้องถึงหน้าบ้านแล้วค่อยกลับ เมื่อมองทะลุรั้วไม้เข้าไปด้านใน บ้านของหญิงสาวไม่ได้หลังใหญ่ เป็นบ้านสองชั้นเรียบง่ายแต่ดูแล้วก็ให้ความอบอุ่นเป็นครอบครัว ถึงเธอจะกระด้างกระเดื่องไปหน่อยแต่ก็ต้องยอมรับว่าสั่งสอนน้องชายออกมาได้ไม่เลว บางมุมก็ดูจะน่ารักไร้เดียงสาชวนให้รู้สึกว่าเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ

“ฮึๆ” เขานึกถึงว่าวันนี้หล่อนเขมือบปลาเข้าไปแต่ยังเสียดายที่อิ่มจนกินขนมไม่ได้ก็หลุดหัวเราะออกมา

ภูวฤทธิ์ที่ย้ายมานั่งข้างปะป๊าแล้วแปลกใจจนหันไปมอง “ปะป๊า หัวเราะอะไรครับ?”

พ่อเขายิ้มยากและมักจะมีท่าทางสุขุมสมกับเป็นผู้ใหญ่ แทบไม่ค่อยได้เห็นเขาหัวเราะอารมณ์ดีอย่างนี้มาก่อน

“ไม่มีอะไรครับ ปะป๊าก็แค่ขำคนบางคน แล้วน้องภีมล่ะ วันนี้สนุกไหม ยังจะไปอีกหรือเปล่า?”

เด็กน้อยทำสีหน้าแน่วแน่ “ไปอีกครับ จอมทัพบอกว่าจะปกป้องภีมเอง จอมทัพต่อสู้เก่งมาก”

“ลูกชอบเพื่อนคนนี้เหรอ ปะป๊าเห็นตอนกินข้าวลูกตามใจเขาทุกอย่าง”

ลูกชายเอื่อยเฉื่อยไร้อารมณ์ เขาที่เป็นพ่อย่อมไม่สบายใจ แต่พอได้เห็นว่าวันนี้น้องภีมแทบจะปกติเหมือนเด็กๆ ในวัยเดียวกันก็ตื่นเต้นยินดี อะไรที่ไม่เคยได้เห็นก็ได้เห็น อย่างเช่นว่าน้องภีมแนะนำขนมหวานให้เพื่อนใหม่และยังถ่ายรูปให้

“ครับ จอมทัพใจดี คุณครูจาดีก็สวย แล้วก็ใจดีมาก จอมทัพคงมีความสุขทุกวันที่มีพี่สาว”

“ลูกก็มีปะป๊านะ ปะป๊าใจดีเหมือนกัน” ภรันภพรู้สึกเหมือนลูกชายกำลังอิจฉาเพื่อนใหม่ตรงจุดนี้จึงได้ปลอบโยน

“ถ้าพี่จาดีเป็นพี่สาวของภีมบ้างก็คงจะมีความสุขขึ้นไปอีก”

ภรันภพเลิกคิ้วฉงนกับความคิดของลูกชาย เท่าที่เขาดูไม่เห็นจารวีจะพยายามเอาใจน้องภีมตรงไหน เธอปฏิบัติกับลูกชายเขาเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ทำไมน้องภีมถึงได้ให้ความสำคัญจนอยากได้เธอมาเป็นพี่สาวอีกคนล่ะ สงสัยจารวีจะมีเสน่ห์ดึงดูดเด็กน้อยไม่ประสา หน้าตาเธอก็ดูจะอ่อนเยาว์ไร้พิษภัย เป็นประเภทพวกนางฟ้าน้อยทิงเกอเบล

เพียงวันแรกภรันภพก็ได้ผลสรุปว่าตนตัดสินใจได้ถูกต้องที่ยอมให้น้องภีมมาเข้าร่วมแคมป์ศิลปะ เขาได้เห็นพัฒนาการการเข้าสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ได้เห็นลูกเลิกปลีกตัวไม่พูดไม่จาและซึมเซา ได้มีเพื่อนกับเขาสักที

นึกย้อนไปตอนที่ลูกมาขอเข้าร่วมแคมป์ ซึ่งเขาไม่เห็นด้วย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่น้องภีมร้องขอบางอย่าง ประกอบกับปรึกษาเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์มาพอสมควร จึงได้ยอมปล่อยให้ลูกชายลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปพบปะผู้คนมากมาย นอกจากบ้าน โรงเรียนและที่ทำงานของเขา น้องภีมไม่เคยลองไปที่อื่นเลย

น้อยนักที่ลูกชายจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอก แม้กระทั่งนั่งกินไอศกรีมในร้านลูกของเขาก็ยังรู้สึกไม่ชอบ มันน่าเป็นห่วงเพราะระบบความคิดของน้องภีมแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน ลูกชายมีไอคิวสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบ แต่อีคิวกลับน้อยจนน่าสงสาร ทักษะการเข้าสังคมคนละเรื่องเลยกับผลไอคิว

เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์บอกว่าลูกเขาเป็นอัจฉริยะ การเรียนไม่มีข้อบกพร่อง แต่เขาไม่ได้ดีใจนัก เขารู้ว่าลูกชายอยากมีเพื่อน การเป็นอัจฉริยะแล้วต้องอยู่โดดเดี่ยวหลีกห่างความสนุกมากมายในชีวิต เขาขอไม่ให้ลูกเป็นแบบนั้น ไม่สู้เป็นคนธรรมดาที่มีความสุขในทุกวันดีกว่า

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ