ตอนที่ 5 สมกับที่เป็นพี่น้องกัน

“เป็นเขาต่างหากที่รังแกคนอื่น”

จอมทัพยื่นมือชี้นิ้วไปยังเด็กชายตัวอ้วน สภาพเขาสะบักสะบอม แต่เด็กชายตัวอ้วนก็แย่ไม่แพ้กัน รวมถึงลูกกระจ๊อกอีกสี่คน แต่ละคนเสื้อผ้ายับยู่ บนแขนมีรอยฟัน ผมเพ้ายุ่งเหยิงไปหมด แม่ของเด็กชายอ้วนแว้ดเสียงสูง

“จะเป็นไปได้ยัง ไม่มีทางที่ลูกน้อยน่ารักของฉันจะรังแกใคร แกไอ้เด็กสุนัขชั้นต่ำ แกใส่ร้ายลูกชายฉัน” แล้วแม่เด็กก็หันไปมองชายหนุ่มตัวสูงท่าทางน่าเกรงขาม พลันตกตะลึงรีบเปลี่ยนท่าทางทันที

“คุณภรันภพ คุณก็มาด้วยเหมือนกันเหรอคะ น้องภีมได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ? เขาคงตกใจมาก เฮอะ! เด็กสมัยนี้พ่อแม่ไม่อบรมสั่งสอน เอะอะก็ชกต่อยตบตี ไม่ต้องห่วงนะคะคุณภรัน เดี๋ยวฉันจะให้คนมาไล่ไอ้สุนัขชั้นต่ำนี่ออกไป”

ทางด้านหนึ่งได้มีคนแหวกวงล้อมเข้ามา พอเหลือบไปเห็นน้องชายยืนตาแดงก่ำน่าสงสารอยู่ด้านใน จารวีขมวดคิ้วรีบเข้าไปดู เธอจัดผมเพ้าให้จอมทัพก่อนจะถาม “เกิดอะไรขึ้นจอม ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปล่ะ”

“มาแล้วเหรอ นี่เธอ! ลูกชายเธอหาเรื่องลูกของฉัน จะชดใช้ยังไงห๊ะ! ดูหน้าลูกชายฉันสิช้ำไปหมด สิบชีวิตของเธอยังไม่พอมาเยียวยาจิตใจของลูกฉันด้วยซ้ำ” แม่เด็กชายหุ่นหมีประเมินจากการแต่งตัวของจารวี ก็รู้ได้เลยว่าไม่ใช่คนรวยอะไร

งานนี้เธอกับสามีและครอบครัวของเด็กน้อยทั้งสี่ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นคนออกทุนสนับสนุนเกินครึ่ง ถ้าจะเอาเรื่องก็ง่ายมากในการบดขยี้พวกคนธรรมดา เหล่าบรรดาแม่ๆ ที่ตามมาเฝ้าลูกวันนี้ก็ได้อยู่กันครบ หล่อนตายสถานเดียวแน่

“ไม่ใช่นะพี่จาดี ไอ้หมูตอนนี่…”

จอมทัพได้รับสายตาจากพี่สาวจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เพื่อนอ้วนคนนั้นมาหาเรื่องก่อน เริ่มแรกก็ด่าว่าภาพวาดของเพื่อนอีกคนไม่สวย แล้วก็ด่าว่าเขาไม่มีแม่ เป็นคนปัญญาอ่อน ด่าจอมว่าเป็นหมาข้างถนน เป็นหมาชั้นต่ำ พวกเราสองคนไม่อยากสนใจ แต่เพื่อนอ้วนไม่ยอมเลิกหาเรื่อง แย่งเอาภาพของเพื่อนคนนี้ไปฉีก จอมช่วยเอากลับมา เพื่อนอ้วนก็ให้เพื่อนพวกนั้นมารุม จอมไม่ได้อยากผิดสัญญา แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ ให้โดนตี”

“แม่! แม่! มันตีหนู ไอ้สุนัขชั้นต่ำมันตีหนู หนูไม่ยอม หนูไม่ยอม” เด็กชายอ้วนดีดดิ้นขึ้นมา

ผู้เป็นแม่เห็นแบบนั้นก็ชักสีหน้าดุร้าย “ไม่ต้องห่วงนะเด็กดีของแม่ แม่จะต้องเอาคืนแน่ ส่วนเธอสองแม่ลูกน่ะ โกหกปั้นน้ำเป็นตัวด้านๆ เลยนะ เห็นอยู่ว่าลูกฉันโดนทำร้าย เรื่องนี้ต้องแจ้งตำรวจ ดูซิ! ยังจะตอแหลกันอีกไหม”

จารวีขมวดคิ้วให้น้องชายไปอยู่ด้านหลัง เธอรู้ว่าจอมทัพไม่โกหก ถ้าเขาทำผิดเขาจะไม่สารภาพอย่างหนักแน่นเช่นนี้

“อ้าว! พูดงี้ก็ดีเลย ให้ตำรวจมาเลย ฉันจะรอดูว่าใครกันแน่ที่อบรมสั่งสอนลูกไม่ดี ปากเน่าๆ ของป้านี่พูดคำชั้นต่ำจนเป็นสันดานแล้วสินะ มิน่าลูกป้าถึงได้คำก็สุนัขชั้นต่ำ สองคำก็สุนัขชั้นต่ำ ป้าสอนให้ลูกป้าเป็นแบบนี้เหรอ ในเมื่อป้าว่าลูกชายตัวเองบริสุทธิ์ไม่ได้รังแกใคร งั้นก็ดูกล้องวงจรปิดเลยสิ ถ้าน้องฉันก่อเรื่องก่อนฉันรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ป้าตายแน่”

โดนเรียกป้าว่าน่าโมโหแล้ว ยังมาโดนท้าทายไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม่ของเด็กชายอ้วนชี้หน้าจารวี “แก!”

“แกอะไร พูดแต่คำหยาบ รวยแล้วลืมมารยาทไว้บ้านเหรอ ขนาดฉันมีเงินไม่เท่าป้ายังไม่เคยสอนให้ลูกเกเรเลย”

ภรันภพดวงตาโค้งขึ้นมองไปยังจารวีที่ยืนเท้าเอวด่า เขาว่าตอนที่เธอทะเลาะกับเขาปากจัดจ้านแล้ว แต่เมื่อครู่นี้มันคนละระดับกันเลย ด่าทีก็ทำเอาหน้าสะเทือน ผู้หญิงคนนี้หยาบคาย ทว่าพูดจาไม่เลวทีเดียว

“น้องภีม ไหนบอกพ่อมาว่าใช่อย่างที่เพื่อนคนนี้เล่าหรือเปล่า พวกเขารังแกลูกเหรอ” สายตาภรันภพกวาดไปทั่ว

ความเหน็บหนาวที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทำเอาเด็กน้อยถอยไปหลบหลังแม่ของพวกเขา เด็กชายอ้วนกอดคอมารดาแน่น ถ้าลุงคนนี้รู้ว่าเป็นแบบนั้นจริงจะต้องตีเขาแน่ ไม่นะ เขาไม่อยากถูกตี

“แม่จ๋า ไม่จริงนะ อย่าไปเชื่อ” เด็กชายอ้วนนอกจากจะชอบใช้กำลังรังแกคนอ่อนแอกว่า ยังโกหกบ่อยจนเนียน

“ไม่ต้องกลัวนะลูก คุณภรันคะ เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน มีแม่ปากแบบนี้ก็เห็นได้ชัดเลยว่าต้องโกหกเพื่อหลอกพวกเรา ความจริงต้องเป็นน้องอาร์มที่ปกป้องน้อมภีมแน่ๆ เด็กคนนี้ต่างหากที่รังแกคนอื่น ควรไล่ออกไป”

“ถ้าจะวัดว่าเด็กคนไหนพูดโกหกด้วยนิสัยของบุพการี งั้นก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอว่าลูกป้าโกหก ป้าไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน แถมยังชอบตัดสินคนอื่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ไอ้คุณสมบัติพวกนี้ยืนยันได้เลยแหละว่า…ตอแหล”

จารวีขึงตาใส่มนุษย์แม่จอมปรักปรำก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์เดินไปใกล้สองพ่อลูก เธอคุยกับเด็กชายตัวน้อยแก้มป่อง

“สวัสดีจ้ะหนูชื่อน้องภีมใช่ไหม หนูพอจะบอกได้ไหมว่าตกลงแล้วใครเป็นคนโกหก”

จารวียืนอยู่ใกล้กันเลยได้กลิ่นจากคนตัวสูงลอยมาแตะจมูก กลิ่นหอมนี้เป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ พอดมเข้าไปจารวีก็หลุดโฟกัสเผลอเงยหน้าขึ้นสบตากับภรันภพ อีกฝ่ายก็กำลังมองเธออยู่เสียด้วย

ภูวฤทธิ์ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนใจดี นิ้วมือจึงได้ชี้ไปยังเด็กชายหุ่นหมีกับแม่ “เขาโกหก”

จารวียิ้มหวานให้ “ขอบคุณนะจ๊ะ หนูเป็นเด็กดีมาก ได้ยินแล้วใช่ไหมป้า ถ้ายังไม่พอเอาภาพจากกล้องวงจรปิดด้วยก็ได้นะ”

“พอแล้ว ไม่ต้องใช้ภาพแล้ว” ภรันภพเสริมขึ้น

“หมายความว่าไง” จารวีคิดว่าเขาไม่เชื่อลูกชายตัวเอง

อาจเพราะเป็นพวกเดียวกับคุณนายขี้วีนคนนี้ด้วยเลยจะถือโอกาสเอาคืนเธอทั้งต้นทั้งดอก...ใช่ไหม?

แม่ของเด็กชายอ้วนเห็นโอกาสก็หัวเราะรีบกล่าว “หมายความว่าไม่ต้องใช้หลักฐานหล่อนก็จบเห่เหมือนเดิมไง ใครจะไปเชื่อหล่อนกันย๊ะ! แหมๆ ทำมาเป็นหลอกล่อน้องภีมให้ปรักปรำลูกชายฉัน เธอคิดว่าคุณภรันเขาจะโง่เหรอ”

สิ้นเสียงก็เป็นผู้อำนวยการงานในครั้งนี้เข้ามาร่วมวง เขาเป็นชายวัยกลางคนและรู้จักภรันภพเป็นอย่างดี

“คุณภรันภพ ผมมาช้าต้องขออภัยด้วยครับ คนที่สร้างความวุ่นวายผมจะให้ออกไปครับ”

“ให้พวกเขาออกไปทั้งหมด มีเรื่องอะไรผมจะรับผิดชอบเอง”

“ฮึ! เป็นไงล่ะ อย่ามาทำเป็นอวดเก่งแถวนี้ ฉันว่าแล้วว่าหล่อนจะต้องโดนไล่เหมือนหมา” แม่เด็กชายอ้วนสะใจ

ผู้ปกครองของเด็กที่รุมรังแกคนอื่นก็ยิ้มตาม ใครสั่งใครสอนให้หล่อนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง คุณภรันภพจะล่วงเกินพวกเธอได้ยังไง ช่างโง่เง่า ไม่ทราบเลยล่ะสิว่าในวงสังคมใครกันแน่ที่เขาควรจะเกรงใจให้เกียรติ

“คุณคนนี้ กรุณาออกไปจากงานด้วยครับ” ผู้อำนวยการหันไปพูดกับจารวี

เธอตาโตกำลังจะอ้าปากเถียงใจขาดดิ้น แต่ภรันภพขัดขึ้นก่อน “ไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนพวกนี้ เอาออกไปให้หมด”

“คะ?” แม่เด็กชายอ้วนยิ้มค้างเติ่งสีหน้าสับสนมึนงง “คุณภรันว่าไงนะคะ”

เขาไม่พูดย้ำซ้ำสอง เพียงใช้สายตาผู้อำนวยก็เข้าใจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยมาต้อนเหล่าคนที่สร้างความวุ่นวายออกไปจากงาน ถึงคนพวกนั้นจะให้เงินสนับสนุนการจัดกิจกรรม เขาก็ไม่อยากล่วงเกินภรันภพ

แม่เด็กชายหุ่นหมีเหลือเชื่อ ถามเสียงแหบ “คุณภรันคงไม่เชื่อหล่อนใช่ไหมคะ หล่อนโกหกชัดๆ”

“ลูกชายผมไม่โกหก” เขาไม่เชื่อคนอื่น เขาเชื่อลูกชายตัวเอง

เด็กหมีไม่อยากอยู่ร่วมแคมป์อยู่แล้ว พอโดนเชิญออกก็ไม่รับรู้ว่าเรื่องราวรุนแรงแค่ไหน เขารีบเขย่าแม่ของตน

“แม่กลับกันเถอะ ผมอยากเล่นเกมแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไอ้ปัญญาอ่อนมันทำอะไรเราไม่ได้หรอก ไอ้สุนัขชั้นต่ำก็เหมือนกัน ไว้ครั้งหน้าหนูจะตีมันอีก หนูค่อยมาเอาคืน”

“ไอ้ปัญญาอ่อนงั้นเหรอ” ภรันภพทวนคำพูดของเด็กหมีนิสัยเสีย

“ใช่ไง ไอ้นี่มันปัญญาอ่อน แม่บอกว่ามันโง่ ให้หนูไปตีสนิทด้วย แต่หนูไม่ชอบพวกโง่ ปัญญาอ่อนแถมไม่มี…”

มารดารีบปิดปากบุตรชาย แต่ไม่ทัน เด็กชายหมีแม้ไม่เติมคำจนเต็มประโยคแต่ก็รู้ว่าหมายถึงอะไร ไปจี้จุดตายของภรันภพเข้าเสียแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นสายตารอบด้านยังมองเธอกับลูกเหมือนเป็นของน่ารังเกียจ

“ขอโทษด้วยนะคะ เด็กสมัยนี้พูดจาเรื่อยเปื่อย อย่าเอามาใส่ใจเลยค่ะ ยังไงพวกเราสองครอบครัวก็ทำธุรกิจร่วมกัน”

“ใครบอกล่ะ นับแต่วันนี้ไป บริษัทผมไม่ร่วมทุนหรือโครงการใดกับสามีคุณอีก”

แม่เด็กชายหมีหน้าซีดลงทันตาเห็น “ไม่นะคะ ไม่ใช่ คุณภรัน เด็กไม่ได้ตั้งใจค่ะ อย่ายกเลิกเงินทุนนะคะ คุณภรัน”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ