เช้าวันใหม่ได้นอนเต็มอิ่มเกินเจ็ดชั่วโมงสีหน้าของจารวีดีขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ไม่ได้มีสภาพเหมือนโดนผีสิงร่างอีกต่อไป เธอแต่งตัวเสร็จก็ลงมาประเดิมกาแฟหนึ่งแก้วก่อนค่อยไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับน้องชายและมารดา
“เจ้าจอมแสบ วันนี้ไม่สบายหรือไง? ทำไมเอาแต่เขี่ยข้าวไม่ยอมกินสักที” น้อยมากที่เจ้าตัวดีจะไม่อยากอาหาร พฤติกรรมของน้องชายทำให้จารวีสงสัยเป็นอย่างมาก
กับข้าววันนี้มารดาลงมือทำด้วยตัวเอง เป็นของง่ายอย่างผัดผักในสวนใส่หมูกับน้ำพริกปลาทูแล้วก็ไข่ต้ม น่ากินมาก
จอมทัพทำหน้าตาเศร้ากว่าเดิม “จอมคิดถึงขนมรสชาติอร่อยเหาะเมื่อคืนครับ มันอร่อยสุด ๆ ไปเลย”
อร่อยเสียจนเขาเศร้าเพราะว่าตื่นมาก็ไม่ได้กินอีกแล้ว จารวีเคาะหน้าผากน้องไปทีหนึ่ง “รีบกินอย่าลีลา”
เธอลุกไปเปิดตู้เย็นนำขนมเมื่อคืนออกมากล่องหนึ่ง อีกกล่องเอาไว้ให้แม่ เมื่อวานอิ่มเกินไปเลยชิมไปแค่ชิ้นเดียว ที่เหลือในกล่องยังมีอีกหกชิ้น เพียงพอให้เจ้าน้องชายเห็นแล้วตาลุกวาว สองพี่น้องรับประทานกันไป ส่วนผู้เป็นแม่ไปทำบุญที่วัดแถวบ้านแต่เช้า ตอนแม่กลับมาพวกเขาก็น่าจะออกไปแล้ว
ทางภรันภพวันนี้ก็มาส่งลูกชายตามเวลาเช่นกัน เขาจูงมือเด็กน้อยเข้าไปยังหอประชุมท่ามกลางสายตามากมายและยังผ่านเหล่าคุณครูที่เข้ามาทักทายอย่างแข็งขัน แต่เขาก็ไม่ได้หยุดคุยกับใครเป็นพิเศษ เพียงพยักหน้าให้แล้วพาภูวฤทธิ์ไปกลุ่มที่สี่ เด็กน้อยตัวขาวแก้มป่องรับของจากปะป๊า เป็นกล่องของขวัญมีริบบิ้นสีแดงแปะอยู่
กล่องแรกเขาเอาให้จอมทัพ เมื่อจอมทัพเปิดดูก็เห็นเป็นขนมมาการองสีสันหลากหลายละลานตา รอบข้างเด็กน้อยคนอื่นก็มองมาที่พวกเขาอย่างสนใจ จอมทัพจึงหยิบมาชิมชิ้นหนึ่งแล้วบอกให้ภูวฤทธิ์กินด้วยกัน เด็กชายสองคนกินคนละชิ้น
เพราะว่ารับประทานมื้อเช้ามาแล้วจึงไม่ค่อยอยากขนมนัก จอมทัพปิดฝากล่องเก็บไว้กินตอนวาดภาพต่อ
นั่นยังไม่หมด วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่จอมทัพที่ได้ขนมเป็นของขวัญ ภูวฤทธิ์ตัวน้อยยังมีให้จารวีด้วย เป็นกล่องกำมะหยี่สี่แดงรูปทรงหรูหรา จารวีแจกจ่ายงานเสร็จพอดีเดินมา เด็กน้อยก็ยื่นของขวัญให้เธอ ท่าทีของเขาขี้อาย ไม่กล้าสบสายตาใครอื่น
“อ๊ะ! ให้คุณครูเหรอจ๊ะ?” จารวีมองหน้าภรันภพก่อนเป็นอันดับแรก เธอเปิดดู ด้านในเป็นนาฬิกาแบรนด์หรูคงจะหลักหมื่นทีเดียว
“เอ่อ…ของสิ่งนี้คุณครูคงรับไว้ไม่ได้หรอกนะน้องภีม มันมีมูลค่าเกินไป”
จะบ้าหรือไง? ตอนลูกชายเอามาพ่อไม่ห้ามเลยเรอะ! ดูท่าก็น่าจะรู้อยู่ก่อนแต่ก็ยังจะปล่อยให้เขามอบของแพงแบบนี้ให้เธอได้ยังไง?
“รับไว้เถอะ เขาตั้งใจเลือกมาให้เธอโดยเฉพาะ” ภรันภพอ่านสีหน้าอึดอัดของเธอออกจึงกล่าวขึ้น ของแค่นี้ไม่แพงเลยสำหรับเขา
เพื่อนร่วมงานต่างพากันมอง ไม่รับก็จะเป็นการทำลายน้ำใจและหัวใจอันมุ่งมั่นของเด็กน้อย แบบนี้เธอยอมโดนมองโดนนินทายังดีกว่าเสียอีก น้องภีมจะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึก หญิงสาวยื่นมือขาวผ่องออกไป
“ขอบคุณนะครับ แต่ว่าวันหลังไม่เอาของขวัญที่มีราคาแล้วนะคะ หนูเป็นเด็กดีมาก”
จารวีเอ็นดูจนยื่นมือไปลูบศีรษะภูวฤทธิ์ พอเงยหน้ามาสบตากับภรันภพอีกครั้งก็ต้องรีบชักมือกลับ จนเด็กน้อยพากันไปเตรียมอุปกรณ์วาดภาพ ชายหนุ่มจึงได้ถามเธอ
“วันนี้ไม่แขวะฉันเหมือนเดิมแล้ว?”
จารวีหน้างอไปครู่หนึ่งก่อนจะปั้นยิ้มเสแสร้ง “ใครจะกล้าแขวะคุณภรันล่ะคะ ฉันไม่ใช่คนชอบหาเรื่องสักหน่อย”
“งั้นเหรอ ไม่บอกไม่รู้เลยนะ”
ตาบ้านี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง แย่งขนมกับผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาเฉยแล้วยังมาเล่นบทเหยื่อ หน้าไม่อายชะมัด
ภรันภพตาไว เขาพอจะรู้ว่าเธอแอบด่าในใจก็เลยยิ่งอยากแหย่ แต่เวลานี้ผู้อำนวยการแคมป์เข้ามาทักทายเสียก่อน
“สวัสดีครับคุณภรัน เมื่อวานผมได้ส่งเอกสารไปยังบริษัทของคุณภรันเรียบร้อยแล้ว วันนี้…”
ผู้อำนวยการต้อนรับขับสู้อย่างแข็งขัน คณะครูสาวที่ติดตามมาด้านหลังยืนออเบียดจนจารวีถอยออกจากวง พวกหล่อนก็คือคุณครูวิทยากรดูแลกลุ่มที่หนึ่งซึ่งพึ่งจะปะทะฝีปากกันเมื่อวานไปนั่นเอง
ภรันภพฟังผู้อำนวยการอย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่งก็ชี้ไปที่จารวีทางด้านหลัง
“เธอทำงานดีมาก ผมให้ทุนสนับสนุนเต็มที่และอนุญาตให้ลูกอยู่ต่อเพราะมั่นใจคุณภาพของวิทยากรแบบเธอ”
เหล่าคุณครูสาวที่พยายามเสนอหน้าแต่งองค์ทรงเครื่องมาเต็มที่ถึงกับสะอึก พวกเธออุตส่าห์เบียดหล่อนไปข้างหลัง ไม่เห็นหัวหล่อน ไม่ให้หล่อนได้เผยอมักใหญ่ใฝ่สูง แต่กลายเป็นโดนคำพูดนี้ของนายทุนสุดหล่อตบหน้าจนเจ็บ
ผู้อำนวยการรีบกวักมือเรียกจารวีให้ก้าวขึ้นมา พวกที่ขวางเธอไว้ไม่อยากหลบคราวนี้ก็ต้องหลบไปแต่โดยดี
“คุณครูจารวี เพราะคุณครูเลยนะครับแคมป์ของเราจึงได้รับการสนับสนุนจากคุณภรันภพมากขนาดนี้”
คนโดนชมมีความเก้กังก่อนจะตอบเพียง “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” คำชมของเขามันหนักเสียจนเธอไม่กล้ารับจริงๆ
วันที่สี่ของแคมป์ศิลปะ ผลงานหัวข้อแรกของเด็กๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เรียกว่าเข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว แคมป์จัดในวันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์กับอาทิตย์หยุดให้พักผ่อน ฉะนั้นวันนี้ก็ควรจะเก็บงานและลงรายละเอียดสีให้เรียบร้อย
สองวันมานี้ภรันภพไม่ได้มาส่งลูกชายอาจเพราะติดธุระ จารวีเลยได้หน้าที่เสริมเพิ่มเข้ามานั่นคือช่วยดูแลน้องภีมตอนพักเที่ยงให้ ทุกครั้งเด็กน้อยจะมีข้าวกล่องจากที่บ้านมาส่ง ตามจริงแคมป์ก็มีอาหารให้ทว่าเทียบกับกล่องข้าวแสนประณีตของเด็กชาย โภชนาการดูจะไม่เท่ากัน พ่อของเขาใส่ใจมากขนาดนั้นย่อมจัดการอย่างดี
จอมทัพไม่ใช่เด็กเลี้ยงยาก เขากินของที่มีให้แต่ถ้าได้ขนมเพิ่มนั่นก็จะดีมากเสียจนเขายิ้มร่า จารวีจึงเพิ่มนมปั่นโอริโอ้ให้น้องชายทุกเที่ยงวัน ได้ดื่มแล้วเขาก็พอใจไม่เรียกร้องอะไรอีก
ทางห้องอาหารซึ่งเตรียมไว้อาคารด้านข้างหอประชุม เด็กๆกับผู้ปกครองนั่งรับประทานอาหาร มีบ้างที่ขยันออกไปกินข้างนอก แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นี่เพราะตั้งแต่ได้รับงบสนับสนุนเพิ่ม อาหารของแคมป์มีคุณภาพและอร่อย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารถติดอยู่บนถนนเพื่อไปยังห้างที่ใกล้ที่สุด
“น้องภีม หนูจำเป็นจะต้องกินข้าวที่บ้านเท่านั้นไหม ตอนนี้ยังไม่มีคนมาส่งอาหารเลย หรือว่าให้คุณครูไปตักอาหารเหมือนของจอมทัพมาให้ดี” ไม่กินข้าวไม่ได้ ถ้าปล่อยให้หิวจะไม่มีสมาธิวาดภาพตอนบ่าย
ภูวฤทธิ์มองอาหารในถาดหลุมหน้าตาน่ารับประทานของเพื่อนก่อนจะพยักหน้า “ครับคุณครู ภีมกินได้”
ถ้าปนเปื้อนก็คงตายกันหมด เรื่องนี้ต่อให้พ่อมารู้ทีหลังเขาก็ไม่สนแล้ว จอมทัพกินได้ทำไมเขาจะกินไม่ได้ จารวีจึงไปตักมาให้ อาหารวันนี้เป็นเนื้อย่างชุ่มซอสรสเปรี้ยวหวาน สลัดผัก ข้าวผัด ซุปมะเขือเทศ สปาเกตตี้คาโบนาร่าและอื่นๆ เป็นอาหารตะวันตกและอาหารไทยอย่างละครึ่ง ผลไม้ยังมีส้มลูกใหญ่และพวกองุ่น ขนมก็มีให้เลือกเยอะ
จารวีกลับมาพร้อมยุวดีและเนตรชนก พอนั่งลงครบทั้งหมดก็ลงมือรับประทาน พึ่งจะกินไปได้สองคำ ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ด้านข้างน้องภีม ผู้หญิงคนนั้นถือกล่องอาหารไว้ในมือ สายตากวาดมองพวกเธอสามคนอย่างไม่ชอบใจ
“นี่ พวกเธอน่ะไปนั่งที่อื่นซะ ว้าย! น้องภีมอย่ากินค่ะ มันสกปรก”
ภูวฤทธิ์ตกใจเสียงอันคุ้นหูพลันช้อนหล่นจากมือ เขาเริ่มมีท่าทีกังวล ไม่ได้ดูสบายๆ อย่างเช่นก่อนหน้า
“สกปรกตรงไหนคะ พวกเราก็กิน ไม่เห็นเป็นไรเลย คนในนี้ก็กินเหมือนกันหมด” จารวีขัดอารมณ์กับคำพูดเสียมารยาทของอีกฝ่าย หน้าตาก็จัดว่าดีอยู่หรอก แต่ทำไมในปากเหมือนมีแต่สิ่งสกปรก
หล่อนเรียกน้องภีมเสียสนิทสนมหรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นผู้หญิงของภรันภพ อาจเป็นแม่ของเด็กน้อย
“พวกเธอกินได้แต่น้องภีมกินไม่ได้ อย่าเอามาเทียบกันสิ คราวนี้ก็ไปนั่งที่อื่น พวกเธอไม่มีสิทธิ์มานั่งกับน้องภีม”
“ไม่ต้องไปครับ นั่งด้วยกัน ภีมจะกินข้าวกับจอมทัพกับคุณครู” ภูวฤทธิ์ขัดขึ้นมา
นั่นทำเอาหญิงสาวที่เสียงดังหรี่ตาลงมองเขา “ไม่ได้นะคะน้องภีม ถ้าไม่มีเพื่อนกินข้าว เดี๋ยวพี่ดาวจะอยู่เฝ้าเอง”
ดุจดาวเกลี้ยกล่อม จารวีสังเกตเงียบๆก็ดูออกว่าหล่อนไม่น่าจะใช่แม่แท้ๆ ของน้องภีมจึงสวนกลับ
“เธอเป็นใครไม่ทราบ ทำไมต้องมาบังคับคนอื่น”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?