อุ๊วะ! อย่างนี้ก็มีด้วย
ตรรกะเพี้ยนพิลึกอะไรกัน? มิหนำซ้ำยังมากล่าวหาว่าคนอื่นเขาเสียมารยาท ชักจะโมโหแล้วนะ!
หลังความสับสนตื่นตะลึง จารวีหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ชายไร้เหตุผล วินาทีแรกที่ได้มองฝ่ายตรงข้ามเต็มตา หญิงสาวชะงักไปเหมือนไม่คาดฝันว่าคนนิสัยแย่ๆ จะมีหน้าตาหล่อเหลาคมคายราวกับนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสาร ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ขายาวคนนี้ดูดีมากอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อหักลบการกระทำเมื่อสักครู่ ต่อให้หล่อวัวตายควายล้มก็ไม่มีประโยชน์
จารวีเชิดคอเผยอไม่ให้ดูด้อย ถึงจะเตี้ยกว่าก็เตี้ยแบบแสบสันพริกขี้หนู “ขอโทษนะคะคุณ แต่ฉันว่าคุณกำลังเข้าใจผิดนะ ถ้าคุณเห็นก่อนและกำลังหยิบก่อนทำไมของสิ่งนี้มันถึงมาอยู่ในมือฉันล่ะ”
จารวีไม่ว่าเปล่ายังโบกกล่องขนมช็อกโกแลตไปมาให้ชายหนุ่มดู ต้องมาเจอมนุษย์ประเภทโลกหมุนรอบตัวเอง ซวยชะมัด!
“ก็คุณชิงตัดหน้าทั้งที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ ไม่เรียกแย่งแล้วจะเรียกอะไร”
“เฮอะๆ คุณนี่นะความคิดอ่านเหลือเชื่อจริงๆ เลย แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หน้าตาหรือก็ไม่เลว ไม่น่าประสาทกลับแบบนี้ ขนมจะเป็นของคุณก็ต่อเมื่อจ่ายเงินแล้ว แต่เอ๊ะ! นอกจากคุณจะยังไม่จ่ายเงินฉันยังหยิบได้ก่อนด้วย”
สายตาของภรันภพเลื่อนต่ำลง ด้วยส่วนสูงที่เหนือกว่า ไม่ยากที่จะใช้ความได้เปรียบทางสรีระกดข่มแม่สาวปากคอจัดจ้าน ขนมช็อกโกแลตกล่องนี้เดิมทีก็ควรจะเป็นของเขา แต่เธอกลับโผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกไม่ยุติธรรมทำให้ชายหนุ่มเอ่ยปากโต้เถียงไม่แคร์สิ่งใด
“ไร้สาระ ผมเองก็ไม่เคยเจอใครทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้เหมือนกัน” น้ำเสียงเขาเข้มและดังพอประมาณ
ท่าทางของคนที่ถูกแย่งของยังคงดูสุขุมใจเย็นแต่จารวีรับรู้ได้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังกรุ่นโกรธแล้ว งั้นโกรธไปเลยสิ! ชักสีหน้าแล้วคิดว่าแน่เหรอ?
สองชายหญิงโต้เถียงกันไปมาไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างจะเอาขนมกล่องสุดท้ายนี้ให้ได้ เสียงเริ่มค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนมีลูกค้าและพนักงานมาแอบส่องดู เหมือนจะหาทางออกกันไม่ได้ง่ายๆ แต่แล้วก็มีบุคคลที่สามแทรกกลางแยกทั้งคู่จากกัน เป็นจอมทัพตัวน้อยที่เลือกขนมเสร็จแล้วไม่เจอพี่สาว เขาได้ยินเสียงเธอจึงตามมาเจอ พบว่าจารวีกำลังทะเลาะกับใครบางคนอยู่
ด้านภรันภพก็มีเด็กตัวน้อยอยู่ข้างกัน เขาแหงนหน้ามองผู้ใหญ่สองคนไปมาด้วยสายตามีคำถาม
เป็นจอมทัพที่เอ่ยขึ้นก่อน เพราะพี่สาวเขากำลังหอบหน้าดำหน้าแดงจากความโกรธ “อย่าทะเลาะกันเลยครับ”
ไม่ว่าเปล่ายังยื่นอุ้งมือไปดึงชายเสื้อของพี่สาวขอร้องเธอ จารวีมีนิสัยไม่ลดราวาศอกหากโดนเอาเปรียบหรือไม่ได้รับความยุติธรรม เขาได้ยินแล้วว่าพี่ทะเลาะกับผู้ชายแปลกหน้าเพราะขนมกล่องเดียว
“จอมเลือกขนมที่อยากกินได้แล้ว ให้คุณอาคนนี้ไปเถอะครับ เดี๋ยวเราจะไปสาย”
ภรันภพกอดอกหว่างคิ้วเข้มคลายออกเล็กน้อยเมื่อเด็กชายกล่าวอย่างรู้ความ “ได้ยินแล้วนะ รู้มารยาทเหมือนลูกชายคุณหน่อย เขาเด็กขนาดนี้ยังคิดได้เลยว่ากล่องนั่นควรเป็นของใคร”
“นี่คุณ!…” โอ๊ย! เธอโมโหจะตายอยู่แล้ว ฟังยังไงก็รู้ว่าน้องชายเธอเข้าข้างเขาไปแล้ว
จารวีลมออกหูไม่พักเพราะเกิดมายังไม่เคยเห็นคนบ้าเท่านี้ ไม่ติดว่ายังมีธุระต่อได้ไม่จบไม่สิ้นกันแน่ อีกอย่างเธอไม่อยากวิวาทจนเสียการเสียงานจึงตัดสินใจถอยก้าวหนึ่งยกขนมในมือให้ เด็กน้อยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ข้างชายหนุ่มเป็นตัวแทนรับไป เขาพลิกดูก็กล่องช็อกโกแลตน้อยๆ ราวกับได้ของล้ำค่ามา ภาพตรงหน้าทำเอาจารวีอึ้ง
“ขอโทษแทนคุณพ่อและขอบคุณนะครับ” เด็กน้อยเสียงเจือแหบกล่าวแล้วจับมือชายหนุ่ม
อุ้งมือนุ่มๆ เขย่าเป็นสัญญาณให้เขาพอได้แล้ว ภรันภพคว้าชัยชนะมาได้ก็ไม่สนใจจารวีอีก เขาอุ้มลูกชายขึ้นมาทำท่าคล้ายรำคาญเต็มทน หญิงสาวจึงได้โมโหอีกระลอก นอกจากจะไม่ขอบคุณยังกล้ามองเธอด้วยสายตาตำหนิโทษอีก
จารวีกัดปากกัดฟันกล่าวทิ้งท้ายแฝงการเสียดสี “แม้แต่เด็กก็ยังมีมารยาทกว่าผู้ใหญ่บางคน เฮอะ!”
พวกเขาแยกย้ายกันไปคิดเงิน เรื่องจบลงแบบไม่เต็มใจ หลังขึ้นมาบนรถยนต์ได้จารวีก็เริ่มบ่นอุบ
“หมอนั่นนิสัยโคตรจะแย่ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น มีอย่างที่ไหนแย่งของจากมือคนอื่น”
พ่อแบบนั้นแต่กลับมีลูกชายตัวน้อยรู้ประสาแถมยังน่ารักน่าชังเป็นบ้า นี่ถ้าขอดีๆ เธอก็คงยกให้แล้ว เจ้าหนูน้อยทั้งขี้อายทั้งมีสัมมาคารวะ แต่ตัวคนเป็นพ่อดันมาว่าเธอไร้มารยาท แบบนี้ใครจะไปยอมเล่า
“พี่จาดีกินขนมครับ” จอมทัพคลายโทสะที่อัดแน่นให้พี่สาวด้วยการยื่นขนมมาป้อน เขาเองก็ไม่อยากฟังพี่บ่นมาก
จารวีว่าจะด่าอีกสักหน่อยแต่มีขนมมาจ่อปากจึงได้ข่มความฉุนเฉียวแล้วลิ้มรสหวานละลายเพลิงพิโรธเข้าไป
“อย่าพบอย่าเจอกันอีกนะ ชาตินี้ครั้งเดียวพอ ผู้ชายบ้าปากคอเราะร้ายเหมือนกรรไกร”
เธอตัดรอนแล้วแค้นไว้เพียงเท่านี้ เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยใหญ่ใจกลางกรุงอันเป็นสถานที่สำหรับจัดแคมป์ศิลปะ สองพี่น้องก็ตรงไปยังอาคารนันทนาการหลักซึ่งเป็นส่วนของหอประชุมที่ใหญ่ที่สุด แคมป์ศิลปะนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้น้องชายได้ทำความคุ้นเคยกับสังคมใหม่ ยังเป็นแคมป์ระดับประเทศที่สำคัญมาก เมื่อก้าวขาเข้าไปในตัวอาคาร บรรยากาศทำให้นึกถึงตลาดวิชาการที่จัดได้ครบเครื่อง
จะไม่ให้ครบเครื่องได้ยังไงล่ะ? โรงเรียนระดับประถมศึกษาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อด้านศิลปะเพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะด้านศิลป์เลยนะ
ทุกปีในเวลาปิดเทอมจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เด็กประถมอายุ 6-12 ปีได้มาร่วมหาความรู้และหนึ่งในกิจกรรมที่มีชื่อเสียงมากถูกจัดขึ้นเป็นประจำก็คือแคมป์ศิลปะ เด็กที่เข้าร่วมการอบรมในแคมป์มีการแข่งขันกันและยังมีโอกาสนำผลงานไปโชว์ในนิทรรศการศิลป์ด้วย จะว่าเป็นใบเบิกทางอนาคตก็ย่อมได้
“ว้าว! สมแล้วที่ได้สปอร์นเซอร์สนับสนุน จัดงานออกมาได้ขนาดนี้เป็นหน้าเป็นตาให้วงการศิลปะจริงๆ”
จารวีชื่นชมและภูมิใจในความทุ่มเทของผู้ใหญ่สายอาชีพเดียวกับเธอ นับว่าพวกเขาบ่มเพาะต้นกล้าหน่ออ่อนได้ดี
ไม่เสียแรงที่ตัวเธอดิ้นรนกระเสือกกระสนจนเรียนจบมาได้ ปริญญาใบนี้ในที่สุดก็คืนผลตอบแทนกลับมาเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าพึงพอใจสำหรับก้าวแรกเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว เธอเป็นบัณฑิตใหม่มาดๆ จำนวนหนึ่งในสามของคุณครูกว่าพันชีวิตที่ผ่านการคัดเลือกของโรงเรียนเอกชนชื่อดังและมาร่วมเป็นวิทยากร งานนี้ค่าตอบแทนไม่เลว แต่ที่สำคัญกว่าคือใบประกาศนียบัตรการอบรม ใครก็ตามที่ได้เข้าร่วมแคมป์ จะครูหรือนักเรียนก็ล้วนสมประสงค์ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
จารวีเข้างานก็เดินไปหาเพื่อนที่รอเธออยู่ตรงบู๊ธแจกอุปกรณ์เครื่องวาดเครื่องเขียน ทั้งสองสอนคนละโรงเรียนกับเธอแต่เพราะรู้จักกันมานานตั้งแต่มัธยม พวกเธอจึงสนิทสนมกันมาก เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้ทีเดียว
“หน้างอเป็นตูดมาเลย เกิดอะไรขึ้นกันย๊ะ? แม่คนสวย” หญิงสาวปล่อยผมยาวสีน้ำตาลสยายคละแผ่นหลังแซวขึ้น
เธอคือยุวดี หญิงสาวหน้าตาดีที่มีรูปลักษณ์อ่อนหวานเหมือนก้อนน้ำตาล แต่ความจริงกลับปากแซ่บไม่แพ้จารวี
“นอนดึกอีกแล้วสิเนี่ย! ฉันว่าแกได้งานประจำทำแล้วก็เพลาๆพวกวาดรูปฟรีแลนซ์บ้างเถอะ”
คนกล่าวคือเนตรชนก เพื่อนสนิทอีกคนที่มักจะถามไถ่และห้ามนั่นห้ามนี่จารวีอย่างกับเป็นแม่คนที่สอง ซึ่งเธอก็ได้แต่รับฟัง ส่วนที่จะทำตามไหมนั่นก็อีกเรื่อง แม้แต่มารดาตัวจริงยังยั้งไม่ได้ แล้วเพื่อนจะไปเหลืออะไร
“เจอไอ้คนบ้าโลกหมุนรอบตัวเองมา แกเอ๊ย! ฉันละอยากจะขย้ำหมอนั่น เขาว่าไงรู้ไหม เขาว่าฉันเสียมารยาทที่ไปหยิบขนมกล่องสุดท้ายตัดหน้าเขา ทั้งที่เขาก็แค่ยืนทึ่มอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่แค่ฉันหยิบก่อนเขาเลยเถียงคำไม่ตกฟาก”
“มีคนแบบนี้ด้วย ของไม่ได้ต่อแถวซื้อสักหน่อย ทำไมสังคมเดี๋ยวนี้มีคนประสาทกลับเยอะจัง แล้วผลเป็นไง”
ยุวดีรู้นิสัยจารวีแจ่มแจ้ง เจอคนพรรค์นี้เพื่อนสาวสู้ยิบตาแน่ แต่เจ้าตัวกลับถอนหายใจ
“จะยังไงได้ ก็ต้องจำยอมให้ไปน่ะสิ ทีแรกฉันก็ไม่ยอมหรอก แต่ลูกชายตาบ้านั่นน่ารักรู้ความก็เลยใจอ่อน เด็กน้อยอายุเท่าๆน้องชายฉันมั้ง ฉันเห็นเขาทำตาแป๋วขี้กลัวแล้วจะให้ใจจืดใจดำเหมือนพ่อเขาได้ไง”
“ที่แกว่ามาก็มีเหตุผล แต่ผู้ชายคนนั้นแย่จริง ถ้าฉันเจอก็คงทนไม่ไหวต้องโมโหอาละวาดเหมือนกับแกแน่นอน”
สามสาวเริ่มวิจารณ์ผู้ชายตรรกะเพี้ยนคู่กรณีคนนั้น ครั้นจารวีได้ระบายให้เพื่อนฟังพลันค่อยหายหงุดหงิด เธอยื่นมือจะหยิบชุดอุปกรณ์วาดเขียนไปให้จอมทัพ แต่แล้วก็มีคนมาฉวยตัดหน้าที่เล็งอยู่ไปดื้อๆ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?