ตอนที่ 15 คิดมากจึงเก็บไปฝัน

เสียงหม้อน้ำซุปเดือดปุดๆ แยกเป็นซุปเห็ดใสกับซุปหม่าล่าอีกเช่นเคย ร้านประจำของจารวีกับน้องชายไม่ได้ใหญ่โตเหมือนร้านที่ภรันภพพาไปเลี้ยงคราวก่อน แต่วัตถุดิบก็สดใหม่แถมน้ำจิ้มยังอร่อยกว่าขั้นหนึ่ง ที่นั่งแบ่งเป็นฝั่ง เดิมเด็กน้อยจะต้องแยกกันนั่งกับผู้ใหญ่ฝ่ายละคน แต่วันนี้พวกเขากลับนั่งด้วยกัน จารวีกับภรันภพเลยต้องตัวติดกันอย่างไม่มีทางเลือก

เด็กๆ พากันไปตักไอศกรีม จารวีก็เริ่มอิ่มแล้วจึงบ่น “ทำไมฉันรู้สึกว่าเด็กๆ กำลังมีบางอย่างปิดบังอยู่นะ”

“คืออะไร เธอคิดว่าลูกๆ กำลังจับคู่ให้พวกเราเหรอ”

“หา! ไม่ใช่นะ คุณพูดจาบ้าบออะไรเนี่ย!”

ทั้งสองสบตากันก่อนจะหลบเลี่ยงด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หัวใจชะงักวูบแปลกประหลาด ภรันภพเป็นผู้ใหญ่ ยังดีว่ารักษาท่าทีสุขุมนุ่มลึกเอาไว้ได้ แต่จารวีแก้มแดงเรื่อ เขินอายจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางตรงไหน

“คือฉันยังติดค้างคำขอบคุณคุณอยู่ ว่าจะพูดตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส ขอบคุณนะคะที่ช่วยแม่ไว้”

ภรันภพเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ขอบคุณไม่จริงใจเลยนะ เวลาสนทนาต้องสบตากับคนที่คุยด้วย”

หญิงสาวเม้มปากยิ่งแก้มแดงกว่าเดิม เธอคงไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงน่ารักๆ นี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา ตอนที่หันมาเพื่อแสดงความจริงใจ ปรากฏว่าทั้งใบหูและลำคอก็แดงร้อนตามกันแล้ว

“ขะ…ขอบคุณนะคะที่ช่วยแม่ไว้ ถ้าไม่ได้คุณ…” ริมฝีปากสีแดงจากความเผ็ดขยับกล่าวอย่างตะกุกตะกัก

จากนั้นหญิงสาวก็เบิกตาโตเมื่อพูดอยู่ดีๆ ก็โดนบางสิ่งทาบทับลงมาบนริมฝีปาก สัมผัสนั้นนุ่มนวลอ่อนโยน บางเบาเหมือนกับเส้นใยแก้วแต่ลมหายใจที่พ่นรดใบหน้ากลับดุดันอย่างยิ่ง สมองเธอตื๊อไปหมด คิดไม่ทันจึงไม่ได้ผลักออก

“วันนี้มีรสนมฮอกไกโดเหลือด้วย ปกติจะหมดเพราะว่ามันอร่อยมาก”

เสียงเด็กใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเขาคงตักไอศกรีมเสร็จแล้ว มุมนั่งตรงนี้เป็นมุมด้านหลัง มีเพียงโต๊ะเดียว อีกโต๊ะเว้นว่างจึงไม่มีใครเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จารวีต้องผลักอกชายหนุ่มออกอย่างลุกลี้ลุกลน เมื่อเด็กๆกลับมาก็ทำเหมือนไม่มีอะไร

“อ๊ะ! พี่จาดี เผ็ดเหรอครับทำไมหน้าแดงขนาดนั้น ฮาฮ่า พี่กินเผ็ดไม่เก่งแล้ว”

“อ๊ะ! เอ่อใช่” จารวีตอบน้องชายไปตามน้ำ สติยังไม่คืนกลับมา จะให้เธอบอกได้ไงว่าเมื่อกี้โดนจู่โจมกะทันหัน

สัมผัสแปลกใหม่พวกนั้นทำให้เธอมือไม้อ่อนจนหมดแรง ได้แต่ต้องเอนหลังไปพิงพนักที่นั่งพยุงกายเอาไว้

ภรันภพก็พึ่งตระหนักเช่นกันว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป เขาไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่แดงเท่าจารวี แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าใบหูของชายหนุ่มแดงมาก เหมือนกับโดนลงสีแห่งความเสน่หาเอาไว้

รับประทานอาหารด้วยกันเสร็จยังคงเป็นภรันภพที่ตามไปส่งพี่น้อง ตอนจารวีลงจากรถเธอแค่หันมาขอบคุณแล้วก็เปิดประตูลงไป ท่าทางสงบใจเย็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายในช่องอกน้อยๆ ของเธอมันร้อนรุ่มจะตายอยู่แล้ว

จูบนี้เหมือนต้นกำเนิดให้ร่างกายผิดปกติ ตกดึกจารวีนอนไม่หลับเทียวพลิกไปพลิกมา ครั้นพอเหนื่อยจนเคลิ้มฝันก็ฝันไปว่ากำลังทำเรื่องลามกหน้าไม่อายอยู่กับผู้ชายคนนั้น ในขณะเดียวกันภรันภพเองก็ใช่ย่อย เขาฝันไม่ต่างกับจารวี ฝันไปฝันมาตื่นเช้าขึ้นเป้ากางเกงก็เปียก ชายหนุ่มสบถหัวเสีย นึกไม่ถึงว่าอายุสามสิบสองแล้วยังจะเกิดความใคร่เข้มข้นเช่นนี้

“เวรเอ๊ย! นี่มันบ้าอะไรกัน” เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยนะเว้ยที่จะฝันเปียก แม่สาวตัวดีทำอะไรกับเขากันแน่ ก็แค่จูบเองนี่

เพราะความฝันจึงทำให้วันต่อมายามพบหน้ากันเกิดความกระอักกระอ่วน จารวีแทบไม่กล้าสบตา ทว่าภรันภพกลับทำตรงกันข้าม เขามองเธออย่างโจ่งแจ้งยิ่งขึ้น มองพินิจเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน เล่นจ้องเสียเพื่อนสนิทของคุณครูสาวเริ่มจับพิรุธได้

ถ้าบริสุทธิ์ใจ ทำไมจารวีดูอยู่ไม่สุขนักล่ะ?

พักเที่ยงในที่สุดก็ได้เวลาสอบสวน บนโต๊ะอาหารยุวดีกับเนตรชนกกอดอกบีบคั้นเอาคำตอบ

“เขามองแกเหมือนจะกินเข้าไปให้ได้ ยัยจาดีอย่ามาโกหกเพื่อนนะ แกกับเขามีซัมติงบางอย่างใช่ไหม”

“ถ้าแกโกหกขอให้แกโสดตาย ไม่งั้นก็ขอให้กินคำเดียวน้ำหนักขึ้นสิบกิโลไปเลย”

แต่ละคนสรรหาสารพัดวิธีมาล้วงเอาคำตอบ จารวีโดนจี้ไม่เลิกก็บีบขมับ “ทำไงดี เมื่อวานนี้เขาจูบฉัน”

ยุวดีกับเนตรชนกจากที่เคร่งเครียดกลายเป็นหน้าเหวอ พวกเธอก็นึกว่าทั้งสองจะพัฒนาไปทีละนิด แต่นี่กลับจูบแล้ว

“จะ…จูบเลยเรอะ ไวไฟเป็นบ้า ไหนบอกว่าเป็นเสือยิ้มยาก ไหนบอกว่าไม่เข้าใกล้สีกา โกหกชัดๆ เลย”

“นี่ยัยจาดี แกบอกไม่ชอบเขาแต่หน้าแดงขนาดนี้หมายความว่าไง แกก็เหมือนคุณภรัน โกหกตาใสเชียวนะ”

จารวีกุมหน้าฝ่ามือก็พลอยร้อนไปด้วย “ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้ว่าเขาจูบฉันทำไม บรรยากาศพาไปล่ะมั้ง”

แบบว่าตอนนั้นก็มองหน้ากันแล้วก็สบประสานสายตา มุมอับเป็นใจไม่มีใครเห็น ภรันภพคงเปลี่ยวใจมานานเลยจูบ ถ้าไม่ใช่เขาก็น่าจะพูดอะไรบ้าง แต่นี่กลับทำเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจะให้เธอคิดยังไงไม่ทราบ ก็ต้องเป็นความผิดพลาดอยู่แล้ว หากเขามีความรู้สึกบางอย่างให้จริงๆ มันก็ต้องแสดงออกมากกว่านี้หรือเปล่า?

ล่วงเลยมาถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก่อนแคมป์ศิลปะสัปดาห์สุดท้ายตรงกับวันเกิดครบเจ็ดขวบของภูวฤทธิ์ตัวน้อย เขาได้มาขอให้จารวีกับจอมทัพไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน จารวียิ่งไม่อยากเจอภรันภพ แต่พอโดนเด็กน้อยขอร้องก็ตอบตกลง อีกทั้งจอมทัพยังไม่เคยไปเที่ยวที่สวนสนุกสักครั้ง ถือโอกาสนี้ให้เขาได้มีประสบการณ์ด้วยเลยก็แล้วกัน

สองพี่น้องรอคนมารับ จารวีวันนี้แต่งชุดเดรสกระโปรงสีฟ้าอ่อนสะพายกระเป๋าสีขาวห้อยข้าง ดูย้อนวัยเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ส่วนจอมทัพสวมชุดการ์ตูนวันพีซ เสื้อกางเกงแมทต์กัน ทั้งแก่นทั้งซุกซน เมื่อสองพ่อลูกมาถึงก็รับพวกเธอไป

ภรันภพแต่งกายด้วยลุคออลแบล็กทั้งบนทั้งล่างสีดำสนิท จารวีไม่ค่อยเห็นเขาใส่กางเกงยีนส์ แต่พอใส่แล้วก็เหมือนกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง น้องภีมออลแบล็กมาเลยเช่นกัน ถ้าไม่บอกว่าเด็กเลือกเอง จารวีเชื่อว่าพ่อเป็นคนแต่งให้ ก็เหมือนกันอย่างกับแกะขนาดนี้ จะไม่ให้วิเคราะห์ไปทางนั้นได้ยังไง?

เจ้าหนูวันพีซกับเจ้าหนูออลแบล็คคุยกันว่าจะเล่นเครื่องเล่นอะไรบ้าง ส่วนผู้ใหญ่สองคนอยู่เงียบๆ ฟังพวกเขา เมื่อมาถึงสวนสนุกคนก็เยอะพอสมควร ทั้งสองจูงมือเด็กน้อยเข้าไปด้านใน เริ่มต้นการผจญภัยแรกด้วยการถ่ายรูปที่ระลึกด้วยกัน สถานที่ถ่ายเป็นซุ้มจัดแสดง เวลานี้เองที่จารวีสัมผัสได้ว่ามีมือมาโอบเธอจากด้านหลัง เล่นเอาซะเธอตัวเกร็ง

“ทะ…ทำอะไรของคุณน่ะ”

“เปล่านี่” ภรันภพตีหน้าซื่อ เขาก็แค่ดึงเธอเข้ามาใกล้ตามคำสั่งของช่างภาพเองไม่ใช่เหรอ กระโตกกระตากทำไม? ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ลอบอมยิ้ม หญิงสาวเขินทีไรเป็นต้องแก้มแดงไม่ต่างกับลูกตำลึง ทำให้เขายิ่งนึกสนุกอยากแกล้ง

“คุณพ่อยิ้มหน่อยนะคะ พี่สาวยิ้มสวยแล้วค่ะ น้องชายทั้งสองชูสองนิ้วค่ะ” ช่างภาพจัดแจงให้ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าคนเป็นพ่อสีหน้านิ่งขรึมลง เธอทำอะไรผิดล่ะเนี่ย!

วันทั้งวันถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า จารวีให้ความเอาใจใส่จอมทัพกับภูวฤทธิ์เท่าๆ กัน ไม่มีใครต้องน้อยใจ ภรันภพตามดูแลภาพรวมอยู่ไม่ห่าง ถึงจะมีคนทักว่าเขามากับลูกๆ ทั้งสามเขาก็พยายามไม่ถือสา จนเมื่อถึงเวลากลับบ้าน ระหว่างทางเด็กน้อยสองคนเล่นสนุกกันจนผล็อยหลับ ภรันภพก็ได้เอ่ยขึ้น

“ฉันเหมือนพ่อเธอตรงไหน เธอโตป่านนี้แค่เพราะหน้าเด็กก็กลายเป็นลูกฉัน”

จารวีจากที่นั่งเงียบหัวเราะพรืดอย่างไม่ไว้หน้า “คิกๆ ไม่หรอกค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น คุณหน้าไม่แก่สักนิด ยังหนุ่มมาก แต่เพราะท่าทางของคุณต่างหากที่เหมือนตาแก่ ดูมีหลักการแล้วก็อารมณ์ไม่ค่อยสุนทรีย์ คุณน่าเกรงขามไม่เหมือนหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่มักจะยิ้มแย้มกระตือรือร้นกับทุกสิ่งได้ง่าย พวกเขาไม่เคยผ่านเรื่องราวมากมายแบบคุณ เป็นผู้ใหญ่ดีออกค่ะ”

ภรันภพได้ฟังก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ความขุ่นมัวมลายจาง “เธอคงชอบผู้ชายวัยไล่เลี่ยกัน”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” จารวีไม่ได้คิดมากตอบออกมา

เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ลอบมองเธอแวบหนึ่ง เงียบไปนานค่อยกล่าว “ความชอบคนเราไม่แน่ไม่นอนเสมอไปหรอก”

คำพูดนี้ทำเอาจารวีสะอึกเกือบจะสำลัก นี่เขาหมายความว่าไง?

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ