“อุ๊ยแม่! ตกใจหมด นี่คือสารรูปที่เธอจะไปทำงานวันแรกเรอะ? ยัยจาดี ตายแล้วตาย! ไม่น่านอนดึกเลย”
จารวีสำรวจสภาพผิวหน้าหลังตื่นนอนของตนพร้อมกับบ่นอุบเสียงอ่อนเปลี้ยเพลียใจ รูปโฉมที่สะท้อนในเงากระจกปรากฏให้เห็นหญิงสาวใต้ตากลมบวมเป่งเหมือนไข่ต้มร้อนกรุ่น ทั้งที่เค้าโครงลักษณะจมูกปากเล็กจิ้มลิ้มน่ารักใคร่ แต่หน้าต่างหัวใจอย่างดวงตากลับย่ำแย่ พาลพาให้บุคลิกภาพสลดหดหู่ตามไปด้วย และแม้เธอจะปาดรองพื้นอำพรางร่องรอยการนอนดึกเอาไว้ นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ดูดีขึ้นสักนิด
ยิ่งโบกยิ่งหนา สภาพไม่ต่างอะไรกับเอาหน้าไปโม่ปูนขาว
จารวีไม่รู้จะปล่อยตัวเองไปทั้งอย่างนี้หรือพยายามอีกครั้งด้วยการล้างหน้าแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ ทว่าพอมองไปที่จอโทรศัพท์มือถือดูเวลา ก็เหลือเพียงทางเลือกเดียวให้เธอ นั่นคือล้มเลิกความพยายามแล้วปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
เธอไม่ได้ใช้หน้าตาหากินเฉกเช่นพวกไอดอลนักแสดง ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากมาย อาชีพที่นอนดึกเป็นกิจวัตรอย่างฟรีแลนซ์ ลืมตาตื่นมาในสภาพประมาณนี้ก็ไม่ถือว่าผิดปกติสักนิด
ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะไม่หนักไม่เบาดึงความสนใจของหญิงสาว ด้านนอกห้องเด็กชายตะโกนเร่งเข้ามา
“พี่จาดีมากินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพวกเราจะไปเข้าแคมป์สายนะครับ”
“ได้ยินแล้ว พี่กำลังลงไป จอมกินก่อนได้เลย” จารวีตอบกลับน้องชายเจ้าของเสียงกังวานใส มือสวยสีเหมือนหยวกกล้วยถักเกลียวเปียผมยาวคละบั้นเอวไปด้านหลังแล้วทัดโบว์ขนาดเล็กสีแดง ค่อยหยิบกระเป๋าออกจากห้องลงไปยังชั้นล่าง
บนโต๊ะอาหาร เจ้าน้องชายตัวแสบวัยเจ็ดขวบกำลังแกะน้ำเต้าหู้ใส่แก้วยกดื่ม ที่นั่งข้างกันคือมารดาหน้าตาใจดีกำลังจัดแจงกับข้าวกับปลา พอจารวีลงมาสิ่งแรกที่เธอต้องการคือฉีกซองกาแฟชงกับน้ำร้อน จากนั้นผสมน้ำเย็นให้อุ่นแล้วกระดกดื่มจนเกลี้ยง กาแฟคือยากระตุ้นที่ดีที่สุด ถ้าไม่ได้ดื่มก่อนเริ่มใช้ชีวิตในวันใหม่เธอต้องซึมเซาเป็นแมวป่วยแน่
“อ๊า! ชื่นใจจัง แม่จ๋าวันนี้มีอะไรกินเอ่ย กลิ่นหอมลอยไปถึงบนห้องนู้น” หญิงสาววนกลับมานั่งที่โต๊ะ
อาหารหน้าตาคุ้นเคยสองอย่างถูกตักใส่ชาม เป็นไข่เจียวเหลืองหอมกับผัดกะหล่ำปลีใส่หมูสามชั้น ธาราผู้เป็นมารดาเลื่อนจานข้าวให้ลูกสาว สังเกตเห็นว่าวันนี้เธอดูแตกต่างไปจากเดิมก็ถามขึ้น
“เมื่อคืนยังทำงานดึกไม่ยอมหลับยอมนอนอีกแล้วล่ะสิ อะไรที่หนักเกินไปก็เพลาๆ หน่อย ไหนๆ แกก็ได้งานใหม่เป็นครูสอนศิลปะโรงเรียนใหญ่ขนาดนั้นแล้ว เงินเดือนเขาก็จ่ายให้ไม่เลว พอกินพอใช้ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องทำฟรีแลนซ์เหมือนเมื่อก่อน เอาเวลาพวกนั้นนอนเร็วรักษาสุขภาพหน่อยจะดีกว่านะ”
“เวลานอนถมเถน่ะแม่ จายังอายุน้อยถ้าไม่ขยันตอนนี้จะมีเงินเก็บได้ไง ไอ้เจ้าจอมของเรากินเก่งกินจุขึ้นทุกวัน เดี๋ยวพอน้องเข้ามหา’ลัยค่าใช้จ่ายจะยิ่งทบทวี จาหาไว้ตอนนี้ วันข้างหน้าจะได้ไม่เหนื่อยมาก” จารวีลูบหัวน้องชายจนผมยุ่ง
มารดาตักกับข้าวให้เธอกับน้อง สีหน้าทั้งปลื้มทั้งสงสาร “ถ้าพ่อแกไม่ด่วนจากไป แกก็คงไม่ลำบากตั้งแต่อายุน้อยแบบนี้”
“ไม่เอาหน่าแม่ โทษพ่อไม่ได้นี่ แต่อย่างน้อยพ่อก็ทิ้งเงินประกันไว้ให้จนจาเรียนจบนะ หรือต่อให้พ่อไม่จากพวกเราไป คนหนุ่มสาวสมัยนี้โตขึ้นทุกวันยังไงก็ต้องทำงานทำการให้เป็น เพื่อนๆจาเองก็ไม่ได้เป็นคุณหนู ต่างคนต่างทำงานพาร์ทไทม์กันทั้งนั้น เรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย จาว่ามันดีออก พ่อก็คงอยากให้จาเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนกัน”
จารวีปลอบใจมารดาเพราะไม่อยากให้ท่านเศร้าเมื่อกล่าวถึงการจากไปอย่างกะทันหันของผู้เป็นพ่อ ช่วงเวลาที่เธอต้องดิ้นรนเป็นเสาหลักของบ้านตั้งแต่อายุสิบหกมันลำบากและเหน็ดเหนื่อยมากก็จริง แต่ถ้าไม่เพียรพยายามประคับประคอง ทำทุกทางเท่าที่จะทำได้ ครอบครัวของเราก็คงไม่สามารถพร้อมหน้าพร้อมตากันได้อย่างทุกวันนี้
“พอจอมโตขึ้น จอมก็จะเป็นคนเก่งเหมือนพี่จาดี แล้วก็จะดูแลแม่กับพี่จาดีเองครับ”
“ฮา ฮา ฮา เหรอจ๊ะพ่อหนุ่มน้อยตัวแสบ งั้นก็ต้องขยันตั้งใจเรียนตั้งแต่วันนี้เลยรู้ไหม ห้ามไปมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนร่วมชั้นเด็ดขาด โรงเรียนใหม่ไม่เหมือนโรงเรียนอนุบาลแล้วนะ ถ้ามีเรื่องมาพี่จะถือว่านายผิดสัญญา”
“จอมไม่ผิดสัญญาแน่ครับ” เด็กชายแก้มสีเลือดฝาดชูแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นเพื่อยืนกรานความตั้งใจของตน
แม่กับพี่สาวเห็นเขามุ่งมั่นจริงจังเกินวัยของเด็กชายก็พากันหัวเราะขำ ถ้าเข้าแคมป์ศิลปะหนึ่งเดือนนี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น นั่นก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าเด็กน้อยทำตามสัญญา ค่อยๆ เติบโตขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว
เพียงแต่จอมทัพมักจะควบคุมอารมณ์ส่วนลบได้ไม่ค่อยดีนัก ยามเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าเขาไม่มีพ่อ เด็กน้อยก็จะตอบโต้ด้วยการพุ่งเข้าใส่จนสุดท้ายมีสภาพสะบักสะบอม ต่อให้อีกฝ่ายตัวโตกว่า เจ้าหนูแก้มป่องนี่ก็หาได้หวั่น จารวีแม้ไม่พอใจที่เด็กคนอื่นล้อเลียนน้องชาย แต่เธอก็สอนเด็กบ้านตัวเองเสมอว่าอย่าไปสนใจเด็กเหล่านั้น ให้แก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง หรือหากเรื่องไม่จบไม่สิ้นก็มาบอกเธอแทน ในฐานะผู้ปกครองเธอไม่มีทางยอมให้ใครมารังแกน้องชายง่ายๆ อยู่แล้ว
สามคนรับประทานอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ จารวีกับจอมทัพก็ออกจากบ้านเดินทางไปยังแคมป์ศิลปะด้วยรถมาสด้าสีขาว ซึ่งเป็นรถคันแรกของครอบครัวที่พ่อซื้อทิ้งไว้ให้ ภายนอกยังดูใหม่และสะอาดเอี่ยมเนื่องจากพึ่งเอาไปเข้าศูนย์ล้างขัดสีฉวีวรรณมา ส่วนภายในก็เทียวซ่อมเทียวเปลี่ยนอะไหล่ตามอายุการใช้งาน
เจ้าแก่คันนี้เข้าปีที่สิบห้าแล้ว แต่ไม่ว่าชีวิตจะลำบากแค่ไหนจารวีก็ไม่เคยนึกอยากขายกิน เธอคิดตรองไว้ถ้ารวบรวมเงินได้สักก้อนค่อยเปลี่ยนใหม่สักคันก็ยังไม่สาย งานคุณครูมีออกนอกพื้นที่ไปทัศนาจรต่างจังหวัดด้วย เหลือรถไว้ใช้ประจำจะสะดวกกว่า
ในรถจอมทัพคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เขาตื่นเต้นอดที่จะถามพี่สาวไม่ได้ “พี่จาดี วันนี้เพื่อนใหม่จะมาเยอะไหม”
จารวีเป็นหนึ่งในวิทยากรของแคมป์ศิลปะครั้งนี้ เธอจึงรู้ข้อมูลคร่าวๆ น้องชายถามเลยมีคำตอบให้
“เยอะสิ หกเจ็ดร้อยคนได้มั้ง คนเยอะจอมจะได้เพื่อนใหม่ด้วยไง เดี๋ยวพอเปิดโรงเรียนจะได้ไม่ต้องปรับตัวมาก”
โรงเรียนประถมเอกชนท็อปสามของประเทศอย่างโรงเรียนศึกษาวิทยานุกูลค่าเทอมตั้งครึ่งล้าน ลำพังตัวเธอไม่มีปัญญาส่งเสียแน่ แต่เพราะตำแหน่งคุณครูจึงมีโควต้าทุนให้เครือญาติได้หนึ่งคน ที่เธอสนับสนุนน้องชายให้เข้าร่วมค่ายศิลปะครั้งนี้ เพราะหนึ่งเลยคืออยากให้เขาได้เพื่อนใหม่ เด็กๆ ในเขตเมืองกรุงวัยประถมมาร่วมเขาแค้มป์หลายร้อยชีวิต ใครสักคนในนั้นอาจเป็นนักเรียนของโรงเรียนศึกษาวิทยานุกูลและได้เป็นเพื่อนกับน้องชายของเธอก็ได้
เจ้าตัวแสบคนนี้เธอเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง เป็นลูกหลงของพ่อแม่ที่มีอายุห่างกันเกือบยี่สิบปี เธอทนเห็นเขาโดดเดี่ยวไม่ได้ เดี๋ยวเป็นห่วงมาก เดี๋ยวคิดตามสารพัด ครั้งหนึ่งเพื่อนเธอเห็นเธอหอบกระเตงจอมทัพไปเรียนด้วยที่มหาวิทยาลัยเพราะแม่ล้มป่วยหนักกะทันหัน ยังพากันนึกว่าเป็นลูกในไส้ของเธอเองเสียด้วยซ้ำ
แต่ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก เลี้ยงมาเองกับมือ เมื่อพ่อเสียไปแม่ก็แทบไม่มีกระจิตกระใจจะใช้ชีวิตต่อ ยามนั้นเธอเลยต้องกลายเป็นทุกอย่างให้เด็กน้อยคนนี้ตั้งแต่อายุย่างสิบหก ต้องออกไปทำงานและคอยป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลไม่ห่าง ดึกดื่นกระจองอแงแหกปากลั่นยังต้องอยู่เฝ้าแม้จะเหนื่อยจนลิ้นห้อย ดีว่ารู้ความบ้างแล้วไม่เอาแต่ใจและเกเร
ถ้าเจ้าหนูนี่นิสัยไม่ดีเธอคงอกแตกระเบิดตายแน่
“แวะปั๊มแป๊บนึง พี่จะซื้อของให้เพื่อนหน่อย”
จารวีจอดรถไว้แล้วเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ เธอให้น้องชายไปเลือกของที่อยากได้ ส่วนตัวเองมุ่งไปยังโซนเครื่องดื่มซื้อนมเปรี้ยวสามขวดและน้ำชาเขียวให้เพื่อน ยังพอมีเวลาเหลือจึงไม่ต้องเร่งรีบมาก หญิงสาวไปยังส่วนของชั้นวางขนม ไล่ดูเรื่อยเปื่อยจนมาหยุดอยู่ที่กล่องช็อกโกแลต ซึ่งขายดีมากจนขาดตลาดในช่วงนี้
“โชคดีจัง เจ้าจอมแสบบ่นว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว” จารวีฉกมาทันทีพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่คาดจะโดนใครบางคนมองแรงชนิดที่ว่าเหมือนเธอทำความผิดมหันต์ไม่น่าให้อภัย
อะไรล่ะ ผู้ชายคนนี้ไม่ปกติหรือไง
“คุณครับ ผมเห็นก่อนและผมกำลังจะหยิบ ทำไมถึงฉวยโอกาสหยิบเอาของคนอื่นไปล่ะครับ แบบนี้มันไร้มารยาทนะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?