หยางเจ๋อค้อมตัวคำนับลี่อินและจางหย่งครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดินตรงไปยังเตียงที่ปูผ้าสีขาวไว้รับรองผู้ไข้ที่มารักษา ตวัดม่านมุ้งแผ่นบางไปเกี่ยวเกาะไว้กับหมุดมุมโครง
“เชิญไท่เว่ย์ขอรับ”หยางเจ๋อผายมือเชื้อเชิญ ก่อนถอยสองก้าวไปยืนรอให้จางหย่งได้นอนราบลงกับฟูกนุ่ม จากนั้นจึงได้ยกเก้าอี้หัวโล้นที่วางหมอนนุ่มไปไว้ข้างเตียงแล้วนำแขนของจางหย่งวางลงตรงนั้น
“ไท่เว่ย์พร้อมแล้วขอรับท่านอาจารย์” หยางเจ๋อวางเก้าอี้หัวโล้นอีกตัวหนึ่งข้างเตียงเพื่อให้ผู้ทำการรักษาทำการรักษาได้อย่างถนัด ก่อนที่เขาจะเดินออกมายืนห่าง ๆ
มือเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยกะของชายอาวุโส วางนิ้วชี้ กลาง และนางลงบนข้อมือข้างขวาใกล้จุดชีพจรบริเวณเส้นเลือดแดงเพื่อตรวจสอบระบบหยินและหยางลงตรงจุดซุ่น กวน เฉ่อ เขาค่อยขยับนิ้วมือกดลงทีละจุด เพื่อพิจาณาความช้าเร็ว ความลื่นไหลการไหวเวียนของระบบปราณหยินหยางในร่างกาย เขาขยับนิ้วตรงจุดซุ่นเพื่อตรวจระบบลำไส้ใหญ่และปอด กดลงตรงจุดกวนเพื่อตรวจม้ามและกระเพาะอาหาร ก่อนที่จะขยับอีกนิ้วเน้นตรงจุดเฉ่อเพื่อตรวจไตหยาง แล้วบอกให้จางหย่งนอนกลับทางเพื่อตรวจหัวใจ ลำไส้เล็ก ถุงน้ำดี และไตหยินจากข้อมือข้างซ้าย
“ท่านลุกขึ้นนั่งแล้วแลบลิ้นออกมาให้สุด” คนที่นอนราบได้ยินพลันเหลือบตามองนิดหนึ่งก่อนที่จะทำตามคำสั่งแต่โดยดี
ลี่อินจับสังเกตขนาดของลิ้น สีของฝ้าและความหนาของชั้นฝ้า ทั้งตำแหน่งที่สัมพันธ์กัน โคนลิ้น สัมพันธ์กับ ไต กลางลิ้น สัมพันธ์กับ กระเพาะอาหาร ,ม้าม ปลายลิ้น สัมพันธ์กับ ปอด, หัวใจ ขอบลิ้น สัมพันธ์กับ ตับ, ถุงน้ำดี
“เรียบร้อยแล้ว” ครั้นได้คำตอบแล้วแน่ชัดแล้วจึงได้สั่งให้จางหย่งเก็บลิ้นเข้าปากตามเดิม
สีหน้าของลี่อินไม่ค่อยสู้ดีนัก ด้วยคำตอบที่ได้จากระบบทั้งหยินและหยางของผู้ไข้คนนี้ ส่วนต่าง ๆ ของเขาต่างก็ถูกทำลายเกือบทั้งระบบปราณ พิษร้ายวิ่งเข้าสู่ระบบกระแสโลหิตเริ่มทำลายส่วนต่าง ๆ มีผลให้นับวันเขามีร่างกายอ่อนแอลง
“อาการข้าเป็นอย่างไรบ้าง ตั่วฟางซื่อ” ซุ่มเสียงกระหายรู้ของจางหย่งพาให้ลี่อินต้องใช้มือลูบเครายาวของเขาตัดอาการประหม่าในทันที
“อาการของท่านน่าเป็นห่วงยิ่งนัก ระบบปราณหยินหยางถูกทำลายพิษเข้าสู่กระแสโลหิต หากไม่ทำการรักษาร่างกายของท่านก็จะมีแต่อ่อนแอลง” คนได้ฟังหัวใจเต้นแรงในทันที ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นทหารผู้ชาญการศึกได้รับการแต่งตั้งเป็นถึงไท่เว่ย์แต่เขาก็ตายได้ครั้งเดียวอยู่ดี
จางหย่งสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อได้รับรู้อาการของตนเอง ทว่ามีคนอีกคนที่ตาโตพร้อมน้ำตาคลอหน่วยตาอยู่ใกล้ ๆ นั้น
“จะต้องรักษาอย่างไรขอรับตั่วฟางซื่อ ได้โปรดรักษานายท่านของข้าด้วยเถิดขอรับ” เสิ่นเฉิงคุกเข่าลงก้มหัวคำนับลี่อินนับครั้งไม่ถ้วน พร้อมกล่าวคำว่า ‘ได้โปรดกรุณาด้วยเถิดขอรับ’ ไปตามจำนวนที่คำนับ
“ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่รักษา หรือรักษาไม่ได้ แต่ต้องใช้เวลาเป็นแรมปี เพราะการขับพิษจากกระแสโลหิตนั้นไม่อาจทำได้ในคราวเดียว ใช่ว่าจะเพียงแค่ฝังเข็ม ดื่มยาต้ม หรือเดินปราณจะทำได้ง่าย เพราะพิษที่เจ้าโดนมานั้นร้ายกาจนัก และส่วนประสมหนึ่งในนั้นอาจมาจากดอกหมื่นพิษในหุบเขาแห่งนี้” จางหย่งตาโต เขาไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรกับการวินิจฉัยของลี่อินดี
“ไม่อาจย่นระยะเวลาให้น้อยกว่านั้นหรือตั่วฟางซื่อ ข้าไม่สามารถพักที่ใดโดยใช้เวลานานได้ ข้าเป็นไท่เว่ย์มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความสงบของบ้านเมือง ข้าไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้” จางหย่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะเอ่ยซ้อนขึ้นมา
“ข้าจะทำทุกอย่างแทนท่านเองขอรับ ขอให้ท่านแค่เพียงสั่งมา ข้าเสิ่นเฉิงยินดีแม้แต่ตายแทน” เสิ่นเฉิงเปล่งเสียงหนักแน่น ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาเขาก็ตั้งมั่นกับตนเองว่าจะมอบชีวิตของเขาให้เซวียนจางหย่ง เขาเคยเกือบถึงความตายมาครั้งหนึ่งแล้วแต่จางหย่งก็หยิบยื่นโอกาสให้เขาได้มีชีวิตอีกครั้ง เขาจึงตั้งมั่นมาตั้งแต่ครานั้น
“ลุกขึ้นเถิดท่านเสิ่นเฉิง ข้าจะเริ่มรักษาไท่เว่ย์ในวันพรุ่ง” ชายอาวุโสในชุดยาวสีดำ หนวดเครายาวสีดอกเหลา เดินไปยังประตูแล้วใช้มือเหี่ยวย่นของเขาเลื่อนดานออกอย่างเงียบเชียบ ทำให้คนหลังประตูที่คอยซุ่มฟังเรื่องราวสะดุ้ง
“ท ทะ ท่านพ่อ” เด็กสาวถอยกรูดออกห่างจากประตูไปสองสามก้าวเอ่ยขึ้นด้วยซุ่มเสียงเก้อเมื่อเห็นบิดาพ้นประตูมา ด้วยระแวงใจว่าผู้เป็นบิดาจะจับได้ว่าตนกำลังกระทำสิ่งใด
“อาเหมย...เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนั้น”ความเย็นวาบสายหนึ่งซ่านลงตรงกลางกลังเมื่อซุ่มเสียงนิ่งเรียบของชายอาวุโสเอ่ยถาม ทั้งที่ไม่ได้มองไปทางที่คนลับ ๆ ล่อ ๆ ยืนอยู่ด้วยซ้ำ
“จ จะ เจ้าคะ ล ละ ลูกเดินผ่านมาตรงนี้พอดี ท่านพ่อก็เปิดประตูมาพอดี ลูกเลยตกใจนิดหน่อยเจ้าค่ะ” ลี่อินมองสีหน้าลุกลี้ลุกลนของคนที่กำลังหาทางหลบเลี่ยง
“อืม เป็นเช่นนั้น นั่นเองสินะ” ลี่อินพยักหน้าช้า ๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “จากนี้ไปเจ้าจะต้องมาเป็นผู้ช่วยพ่อดูแลตำรับยาเพื่อรักษาอาการไท่เว่ย์จนกระทั่งท่านหายดี รวมถึงดูแลอาหารทุกมื้อของไท่เว่ย์และท่านเสิ่นเฉิงด้วย”
“อะไรนะเจ้าคะ? ข้าเป็นธิดาของฟางซื่อลี่อิน ปรมาจารย์แห่งหุบเขาหมื่นพิษกลับต้องทำงานเหมือนดั่งสาวใช้ ลูกไม่ทำหรอกเจ้าค่ะ” เด็กสาวทำท่าปั้นปึ่ง หันตัวสะบัดจนชายเสื้อสีกลีบบัวที่ยาวระพื้นพลิ้วตามลม
“ข้าจะทำคันธนูให้ท่านตามที่ข้าเคยพูดไว้ ไม่ว่าท่านจะอยากได้สักกี่สิบคัน ชั้นเลิศเท่าใดข้าเสิ่นเฉิ่งจะทุ่มเท ขอเพียงแต่แม่นางกรุณา” เสิ่นเฉิงคุกเข่าก้มหัวลงต่อหน้าเด็กสาวเหมือนดั่งที่ก้มหน้าต่อลี่อินเมื่อครู่
“ท่านลุกขึ้นเถิดไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก ข้าเป็นลูกก็ต้องช่วยบิดาของตนอยู่แล้ว” เหตุผลที่ดูสวยขนาดนี้ เสิ่นเฉิงคงไม่คาดคิดเป็นแน่ว่าที่ข้าตอบตกลงก็เพราะหวังคันธนูอันดีเลิศหลายสิบคัน กว่าคันที่ข้าเสียไปต่างหากล่ะ
“ศิษย์น้องของข้านอกจากเป็นหญิงงามแล้วยังเป็นน้ำใจดีงามยิ่งนัก” หลี่หลิวอวี่เอ่ยปากชมด้วยน้ำใสใจจริง พาให้เด็กสาวแย้มยิ้มยินดีเต็มใบหน้าในคำชมนั้น
“เขาผู้นี้คุกเข่าเก่งยิ่งนัก” หยางเจ๋อเอ่ยลอย ๆ ขึ้น ทำเอาหลี่หลิวอวี่เหล่ตามองศิษย์พี่ของตนอย่างงุนงง “ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด ท่านหมายถึงอะไรเหรอ” หลี่หลิวอวี่ถามอย่างที่ตนสงสัย
หยางเจ๋อไม่ตอบสายตายังคงจับจ้องมองเสิ่นเฉิงด้วยตะลึงงันในความสามารถของเขา ที่ทำให้ภาพของชายกำยำตัวเบ้อเร่อนั่งคุดคู้ก้มหัวลงกับพื้นอย่างคล่องแคล่ววนเวียนในหัวของเขาไม่จบสิ้น
…
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?