ตอนที่ 13 จวนรับรองผู้ไข้หลังเก่า

ไกลออกไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป บนสันเขาเตี้ย ๆ หลังจวนกลางมีจวนลับซ่อนอยู่จวนหนึ่ง จวนนี้ในอดีตเคยใช้เป็นจวนรับรองผู้ไข้ตั้งแต่ก่อนสวี่กงเหมยจะจำความได้ ตอนนางยังเด็กเคยหนีมานั่งเล่นที่นี่บ่อย ๆ จนเย็นวันหนึ่งเล่นจนเพลินเผลอหลับไปในจวน ท่านพ่อร้อนใจออกตามหานางทั้งคืน จนพบว่าดานหน้าจวนมิได้ลั่นไว้ ท่านพ่อจึงได้เข้ามาเจอนางและตั้งแต่วันนั้นนางก็ถูกสั่งห้าม และไม่เคยได้เยี่ยมย่างมายังจวนต้องห้ามนี้อีกเลย

จวบจนกระทั่งวันนี้วันที่นางจะต้องนำทางเซวียนจางหย่งมาพำนักเพื่อรักษาตัว หนทางที่รกร้างมากว่าสิบปีทำให้สวี่กงเหมยถึงกับสับสนทิศทาง

“นี่มันน่าจะสองก้านธูปแล้วกระมังแม่นาง จวนลับของเจ้าไกลออกไปเป็นลี้เลยหรือ?” กงเหมยปรายตามองคนพูดแววตาเขียว

“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้มานานแล้ว จะตั้งแง่เอาอะไรจากข้านักหนา” นางสะบัดเสียงใส่อย่างไม่เกรงใจ ด้วยเพราะหามีใครห้ามปรามหนึ่ง ทั้งยังหงุดหงิดเรื่องคันธนูไม่หาย ถึงแม้เสิ่นเฉิงรับปากจะทำให้นางแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจตัดใจจากธนูคันโปรดได้ลง

“ท่านมีดาบ เหตุใดไม่ใช้ดาบถางทางเข้าเล่า ข้าจะได้มองเห็นจุดหมายได้ง่ายขึ้น” เด็กสาวออกความคิด สายตามองตรงไปยังแสงสนธยาที่กำลังลอยต่ำ

“แม่นางท่าจะฟั่นเฟือนแล้วนะขอรับไท่เว่ย์ เห็นดาบของนายกองของข้าเป็นเพียงมีดพร้า” เสิ่นเฉิงพูดหาแนวร่วม

“ทำตามที่นางบอกเถอะเสิ่นเฉิง...” เสิ่นเฉิงอ้าปากค้างหันมองไท่เว่ย์ของเขาในทันที ระหว่างนั้นสีหน้ายินดีของเด็กสาวก็ผุดพรายขึ้นราวกับกำชัยเอาไว้ ก่อนที่น้ำเสียงเดิมจะกล่าวต่อไปอีก

“...นี่จวนจะย่ำยามเซิน กว่าเจ้าจะเดินกลับไปส่งแม่นางยังจวนท่านลี่อิน แล้วเดินกลับมายังจวนที่พัก ท่าจะเข้ายามโฉ่วเป็นแน่ ถ้าเจ้าจะให้นางคลำทางอยู่เช่นนี้” สีหน้าของเด็กสาวยิ้มเยาะอยู่ได้ไม่นานก็พบว่าคนพูดถูกใจเมื่อครู่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างนางอย่างที่คิด และที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพียงตัดความรำคาญเท่านั้นเอง

“ไม่ต้องมาส่งข้าหรอก บ้านข้าอยู่นี่ หลงยังไงก็อยู่ในบริเวณบ้าน ท่านไปพักผ่อนให้ไม่เป็นภาระของข้าเถอะ” กงเหมยกระเง้ากระงอด

เดินตะลุยไปตามแสงส่งท้ายของวัน ฝ่าเข้าไปยังกอหญ้าดอกแดงที่สูงท่วมหัว จมลึกเข้าไปจนร่างของนางหายลับจากสายตาของชายหนุ่มทั้งสองที่เดินตามหลังมา

“ไท่เว่ย์ แม่นางกงเหมยหายไปไหนแล้วขอรับ” เสิ่นเฉิงกวาดตามองหาเด็กสาวอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเกริ่นถามผู้เป็นนาย

“ข้าก็กำลังมองหานางเช่นกัน” จางหย่งตอบน้ำเสียงห้วน เขาจำได้ว่าก่อนที่นางจะหายไป นางเดินแหวกทุ่งหญ้าสีชมพูนี้เข้าไป เขาจึงตัดสินใจเดินตามทางต้นหญ้าที่ถูกแหวกออก

“ไท่เว่ย์ ท่านเสิ่นเฉิงทางนี้ ทางนี้” เสียงโหวกเหวกโวยวายตะโกนอยู่สองสามครั้งซ้ำไปมาดังมาจากทางทิศตะวันตก ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองบุกตะลุยตามเข้าไปจนพบเด็กสาวยืนโบกไม้โบกมืออยู่หน้าจวนที่ปกคลุมไปด้วยไม้เถาเลื้อย

“นี่ไงล่ะ จวนของท่าน” ดวงตาทั้งสี่ของชายหนุ่มทอดสายตามองเนินเขาลูกย่อมตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไหนเล่าจวนของแม่นาง” เสิ่นเฉิงเอ่ยถามดังใจของจางหย่งที่กำลังนึกสงสัยเช่นกัน

“ก็นี่ยังไงล่ะ” น้ำเสียงซุกซนตอบพลางก็เดินมุ่งเข้าไปยังเครือเถาที่เลื้อยพันกันแล้วใช้มือทึ้งสองสามทีประตูหน้าจวนก็ปรากฏชัดเจนขึ้น

“ข้าคลำทางพาท่านมาส่งที่จวนสำเร็จแล้วนะเจ้าคะ” เด็กสาวฉายยิ้มสดใสดวงตาเป็นประกายแวววาว ครั้นอยากจะทวงสัญญาให้เสิ่นเฉิงทำคันธนูให้เลยก็กระไรอยู่ เอาไว้ก่อนละกัน

“ข้าไปล่ะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะมืดค่ำ” พูดจบสวี่กงเหมยก็หมุดตัวเข้าทุ่งหญ้าสีชมพูไป แต่ด้วยความอยากรู้ว่าชายชาติทหารทั้งสองจะทำอย่างไรกับสภาพจวน นางจึงซุ่มแหวกโพรงหญ้าดูอยู่ใกล้ ๆ

“คืนนี้เราไม่ต้องปัดกวาดกันจนไม่ได้พักเลยเหรอขอรับ รกมากขนาดนี้” จางหย่งเห็นด้วยกับเสิ่นเฉิ่งเมื่อมองสภาพของจวนที่ตนต้องพักตรงหน้า จึงได้ตัดสินใจชักดาบคมกริบออกจากฟัก ฟาดฟันลงกับเถาไม้เลื้อยที่ห้อยยาวระย้าตรงหน้า

“จะดาบหรือพร้ามันก็มีดเหมือนกัน จะตัดคอคนหรือตัดต้นไม้ก็ตัดได้เหมือนกัน ถ้าใช้มันถางทางให้ข้าเสียตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องให้ข้าเมื่อยพาเดินวนไปมาหรอก” กงเหมยยิ้มเยาะพลางก็พึมพำกับตัวเอง สองตายังคงจับสังเกตเสิ่นเฉิงและจางหย่งต่อไปว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับสภาพของจวนโดยใช้ดอกหญ้าสีชมพูซ่อนเร้นบังกายไม่ให้เขาทั้งสองได้เห็นว่าถูกนางจับตาอยู่

ท่ามกลางความรื่นรมย์ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะคิกคัก กลับกลายเป็นเสียงกรีดร้อง “กรี๊ด!!!” ดังไปทั่วทุ่ง

เรือนเอวบางของเด็กสาวถูกครอบครองด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ริ้วกระโปรงพลิ้วตามแรงเคลื่อนไหว นัยน์ตาสองคู่ประสานใกล้ เสียงกรีดร้องเงียบสงบลงพลันคงไว้แต่เพียงเสียงหวิวแผ่วเบาของริ้วหญ้า

“ทะ ท่าน” ดวงหน้านวลผุดริ้วชมพูระเรื่อพราย ดวงตาเรียวรีปรายตาลงต่ำ มิหาญสู้เจ้าของสายตาคมดุจพญาอินทรีย์

“ข้าจะพาเจ้ากลับจวนแล้วแจ้งพฤติกรรมของเจ้าแก่ท่านลี่อิน” เด็กสาวเบิกตาโต ครั้นมือก็ออกแรงผลักคนร้ายกาจให้ออกห่างสุดแรง จนกระทั่งตนเองเซล้มลง

“เจ้าคนเจ้าเล่ห์” เจ้าของปากบางสบถ ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วสะบัดชายกระโปรงวิ่งหายเข้าไปในทุ่งหญ้า ทิ้งให้จางหย่งทอดสายตามองจนสุดสายตา

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ