ค่ำคืนที่แสงจันทร์สุกสกาว ไม่ไกลจากจวนยังมีเพิงที่มุงด้วยหญ้าคาแห้งเพิงหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ จากไม้ไผ่ ในคอกนั้นแบ่งเป็นสามคอกพอให้ม้าและลาอย่างละหนึ่งตัวทั้งล่ออีกนึ่งตัวได้อาศัยอยู่ ลี่อินเดินตรงเข้ามาเปิดประตูคอกแล้วพาเจ้าล่อออกมาข้างนอก ก่อนที่จะพามันจูงเดินไปด้วยกันที่จวน ที่ตอนนี้กำลังตระเตรียมความพร้อมเพื่อเริ่มออกเดินทางให้ทันยามอิ๋น
“เจ้าล่อนี่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้พวกเจ้า” ลี่อินเอ่ยปากขึ้น ครั้นมือก็วางกระเป๋าขึ้นพาดบนหลังของเจ้าล่อหนุ่ม
“แล้วผู้ใดจะไปช่วยท่านพ่อเก็บสมุนไพรกันล่ะเจ้าคะ” เจ้าของดวงตากลมเอ่ยถามด้วยเจ้าล่อหนุ่มนี้มักจะถูกจูงเข้าป่าหาสมุนไพรกับบิดาของนางอยู่เกือบทุกเมื่อเชื่อวัน มันเกิดที่คอกนี้ระหว่างพ่อม้ากับแม่ลาของมัน พ่อและแม่ของมันมาอยู่ที่นี่ก็เพราะลี่อินช่วยมันจากอาการบาดเจ็บราวห้าปีก่อนหน้านี้
“หยางเจ๋อศิษย์พี่ของเจ้าจะเป็นคนช่วยข้าเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” เจ้าของดวงตาฝ้าทอดมองเด็กสาว เขาอาวรณ์ธิดาบุญธรรมอยู่ในใจส่วนหนึ่ง แต่หากว่าเขาจะไม่ยินยอมให้นางทำหน้าที่แทน ก็เห็นว่าจะมีผลเสียต่อบ้านเมืองอีกหลายส่วน เขาตระหนักดีว่า...ไท่เว่ย์นั้นเป็นบุรุษหนุ่มยังไร้ฮูหยินจึงเปรียบดังม้าป่า สวี่กงเหมยอาจตกอยู่ในฐานะที่ไม่เหมาะสม ทว่าเซวียนจางหย่งผู้นี้ไว้ใจได้อยู่มากด้วยทั้งเดือนที่ผ่านมา ชายหญิงได้ใกล้ชิด แต่ก็หาได้มีเรื่องราวเสื่อมเสียเกิดขึ้นไม่ เขาผู้เป็นบิดาจึงได้วางใจ และถ้าหากสวี่กงเหมยมีวาสนาได้เป็นฮูหยินของไท่เว่ย์ก็นับเป็นวาสนาของนาง
…
แสงจันทร์เคลื่อนคล้อยลอยต่ำ เตรียมร่ำลาแผ่นฟ้ากว้าง หากแต่แสงของจื่อเวย์ชิงยังคงส่องแสงสุกสว่างนำทางให้แผนการออกเดินทางเป็นไปตามที่วางไว้ สองม้าสองนักรบ หนึ่งล่อ สองผู้ติดตาม ค่อยเคลื่อนตัวเข้าฝ่าความมืดมุ่งหน้ายังจุดหมาย ‘หัวเมืองชายแดนเหนือ’
“ข้าจะล่วงหน้าไปกรุยทางให้ก่อน” หนึ่งบุรุษบนหลังม้าสีน้ำตาลแดงเกริ่นคลอไปกับเสียงเกือกม้ากระทบพื้น ก่อนที่เขาจะพาอาชาคู่ใจทะยานตัวขโยกเข้าสู่ความมืดอย่างกล้าหญ้า
หลี่หลิวอวี่ทอดสายตามองคนที่หายลับเข้าไปในความมืด ครั้นก็นึกถึงเสิ่นเฉิงคนที่เคยร่าเริง ขี้เล่นที่เขาเคยรู้จัก ปล่อยให้เซวียนจางหย่งรั้งท้ายดูแลคนทั้งสองที่ไม่เคยต้องเดินทางในยามค่ำคืน
“เจ้ากลัวหรือไม่” บุรุษสง่าบนหลังอาชาสีดำทะมึนส่งคำถามมาทางเจ้าล่อตัวเล็กที่กำลังถูกจูง หลี่หลิวอวี่ทอดสายตามองคนถาม ทว่าเส้นทางสายตาของเซวียนจางหย่งไม่ได้เหลือบแลมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เจ้าค่ะ” สวี่กงเหมยเอ่ยตอบอย่างรู้งาน ก่อนที่คนถามจะเอ่ยเพียงสั้น ๆ กลับมาว่า “ดี”
ด้วยเหตุผลเช่นนี้กระมัง ปรมาจารย์ลี่อินจึงได้ให้ธิดาคนเดียวของเขา มารอนแรมกลางป่าอยู่กับชายแปลกหน้า โดยให้คนไร้วิทยายุทธอย่างเขาดูแล ท่านอาจารย์คงเห็นอะไรหลายอย่างในแววตาและความรู้สึกของทั้งเซวียนจางหย่งและสวี่กงเหมยที่มีต่อกัน ดังเช่นที่เขาได้เห็นและเข้าถึงความรู้สึกของก้างขวางคออย่างชัดเจนเช่นตอนนี้
ล่วงยามอิ๋นย่ำเข้าสู่ยามเหม่า แสงของจื่อเวย์ชิงที่ส่องนำทางเริ่มอ่อนกำลังลง ขณะที่แสงแห่งอรุณรุ่งเข้ามาแทนที่
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่?” เซวียนจางหย่งเอ่ยถามขึ้นอีกหลังจากเดินมาได้พักใหญ่
“มะ...!” เด็กหนุ่มเผลอตัวอ้าปากตอบ
“ไม่เจ้าค่ะ” ทว่าซุ่มเสียงหวานของศิษย์ผู้น้องเอ่ยตอบขึ้นเสียก่อนเขาจึงเงียบปากลง เซวียนจางหย่งคงไม่อยากจะได้ยินคำตอบจากเขาสักเท่าใดหรอก เพราะดูเหมือนเขาจะอยากได้ยินเสียงของศิษย์น้องของเขาเสียมากกว่า
“จากนี้อีกไม่ถึงหนึ่งก้านธูปจะเป็นลานโล่ง พวกเราจะพักกันที่นั่น” ซุ่มเสียงทุ้มดังคลอสลับกับเสียงเกือกม้าย่อยกระทบพื้น
“ดีเจ้าค่ะ ข้าจะได้ต้มยาให้ท่านได้ดื่มไม่เกินยามเฉิน”สวี่กงเหมยเอ่ยเสียงใส ด้วยนางรู้สึกเมื่อยล้าจากการที่ต้องนั่งอยู่บนหลังล่อเพียงนิ่ง ๆ จึงอยากเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
“ดี ๆ ข้าจะได้อุ่นเสบียงที่นำมาด้วย” หลี่หลิวอวี่เอ่ยพูด เมื่อนึกถึงห่ออาหารที่เขาบรรจงห่อด้วยใบบัวใส่ลงในกระเป๋าบนหลังล่อ
ครั้นก็นึกย้อนไปเมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่ปรมาจารย์ลี่อินได้บอกกับเขาว่าจะต้องเดินทางมาพร้อมศิษย์น้อง เขาไม่เคยเดินทางไกลไปที่ใด จึงไม่รู้ว่าจะต้องตระเตรียมสิ่งใดบ้าง รู้ก็เพียงแต่ว่าจะต้องตระเตรียมอาหารเป็นเสบียงระหว่างทางเท่านั้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าสิ่งใดจะสามารถอุ่นและกินได้อย่างไม่ยุ่งยากและเสียเวลาตระเตรียม และเขามีเวลาจำกัดเพียงแค่สองยามเท่านั้น เขาจึงตรงเข้าห้องครัวในทันที แล้วนำกระเพาะหมูและไส้หมูป่าซึ่งถูกถนอมอาหารไว้ด้วยใบไม้หุ้มขี้เถ้าแกลบ อีกทั้งผักและถั่วหลายชนิดที่มี นำมาทำซาลาเปาและหมั่นโถวขึ้นนึ่งได้อยู่หลายซึ้ง หลี่หลิวอวี่คำนวณจำนวนที่ทำให้พอเพียงกับที่จะนำไปเป็นเสบียงจนถึงจุดหมายปลายทาง และสำหรับเป็นมื้อเช้าให้กับท่านอาจารย์และหยางเจ๋อศิษย์พี่ของเขา
…
เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เจ้าอาชาสีนิลก็พาเซวียนจางหย่งมาถึงลานกว้างตามที่เขาว่า เด็กสาวกวาดตามองพื้นที่มันไม่ได้กว้างเท่าในจิตนาการของนาง หากแต่ร่มเงาอันกว้างใหญ่ของมันต่างหากที่กว้างขวางราวกับหลังคาจวนใหญ่ อีกทั้งรากที่โผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเก้าอี้พอให้ได้นั่งพักสบายอยู่
“พักตรงนี้” เซวียนจางหย่งเหยียบเดือยเหล็กพลิ้วตัวลงจากหลังม้า ครั้นก็จูงเจ้าอาชาสีนิลตรงไปยังหญ้าเขียวที่เขียวขจีหย่อมหนึ่งที่อยู่ใกล้กับริมน้ำ ก่อนที่เขาจะใช้ถุงน้ำที่ทำจากกระเพาะอูฐลงตักน้ำลำธาร มือหนึ่งก็คว้าเอาใบบัวริมตลิ่งให้มารองน้ำให้เจ้าม้ากินดับกระหาย
ระหว่างนั้นหูของเขาก็แว่วเสียงฝีเท้าม้าควบกระชั้นเข้ามาใกล้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?