ตอนที่ 19 ใจเต้นแรง

พลันเสียง พลั่ก ราวกับของหนักถูกโยนลงบนพื้นอยู่ใกล้ ๆ เจ้าของดวงตาคมมองหาต้นตอของเสียงก่อนที่จะเขาจะเข้าไปประคองเจ้าของเรือนร่างที่ลงนั่งพังพาบอยู่บนพื้น

“แม่นางเหมย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข้า...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เด็กสาวค่อยประคองตัวเองลุกขึ้นด้วยกำลังตนเองโดยไม่ตอบรับน้ำใจของเจ้าของฝ่ามือหนาตรงหน้า ทว่าก็เจ็บเกินกว่าที่จะแสดงว่าไม่เป็นไรอย่างที่ปากบอก จนจางหย่งต้องเข้ามาประคองคนอวดดีเอาไว้ในกำลัง

“ไหนว่าไม่เป็นไร อย่าปากแข็งเลยน่า ไม่ไหวก็บอกเถอะ”เจ้าของเรือนร่างเล็กรีบผละตนเองออกห่างเจ้าของอ้อมอกอบอุ่น

“ข้า...ไม่เป็นไรจริง ๆ เจ้าค่ะ” ซุ่มเสียงอ่อนเอ่ยปฏิเสธ

“หากเจ้าเป็นฮูหยินของข้า ข้าจะไม่ให้ริ้นไต่ไรตอมเจ้าเลย” มือกร้านค่อยประคองเจ้าของเรือนร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน ทว่าท่าทางที่โขยกแขยกทำให้เขาต้องช้อนเรือนร่างบอบบางขึ้นไว้กับอก

“ท ทะ ท่าน ปล่อยข้าลงเถอะเจ้าค่ะ ข้าเดินไหว” สองตาคมดุจอินทรีจ้องมองใบหน้านวลของคนในอ้อมแขน ริมฝีปากที่ดีแต่ขยับถ้อยคำไม่เป็นจริงออกมาช่างน่าวางจุมพิตให้นางได้เข้าใจหัวใจตนเอง หากถ้าเขาทำเช่นนั้น อาจเป็นการหักหาญน้ำใจแม่นางและบิดาของนางที่มีพระคุณกับเขาจนเกินไป

“โชคดี ที่วันก่อนข้าขอให้ท่านลี่อินเคี่ยวน้ำมันนวดกล้ามเนื้อมาให้ ดีที่ข้าหยั่งรู้อนาคตจึงใช้ไปเพียงน้อยนิด” ชายหนุ่มพูดพลางก็วางเรือนร่างของเด็กสาวลงกับโคนต้นไม้ใหญ่ แล้วค่อยถกชายกระโปรงของนางขึ้น

“ทะ ท่าน จะทำอะไรน่ะ...เจ้าคะ” เด็กสาวใบหน้าเห่อแดง ซุ่มเสียงสั่นเทา แววตาใสซื่อไร้พิษสง

“ข้า แค่จะลงน้ำมันนวดให้ เจ้าเจ็บตรงไหนบ้างล่ะ” มือกร้านประคองฝ่าเท้าบางไว้ในมือ พลางก็ใช้สายตาไล้ไปตามเรียวขาเล็กของเด็กสาว ก่อนที่จะค่อยจะใช้มือชโลมน้ำมันนวดลงบนรอยฟกช้ำบนเรียวขา

“โอ๊ย...ข้าเจ็บเจ้าค่ะ เบามือหน่อยเจ้าค่ะไท่เว่ย์”

“อดทนหน่อยนะ ข้าพยายามเบามือแล้ว”

“โอ๊ยยยยย ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะไท่เว่ย์”

หน้าต่างมีหูประตูมีช่องฉันท์ใด ในป่าโปร่งไร้ความลับเร้นไว้ฉันท์นั้น

สวี่กงเหมยทอดสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของเซวียนจางหย่งไม่อาจละสายตา แม้ปกติเขาจะชอบทำหน้านิ่งและออกจะดูดุไปบ้าง แต่ยามที่เขาตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก ๆ แล้ว ใบหน้าเขาจะยิ่งดูมีสง่าขึ้นกว่าเดิมที่เคยเป็น โดยเฉพาะยามที่เขาตั้งใจดูแลนางเช่นนี้

เด็กสาวหัวใจเต้นตึกยิ่งจับจ้องมองชายตรงหน้า นางยิ่งไม่อาจควบคุมความคิดของตนเองได้ พานให้ใบหน้าทั้งดวงร้อนผ่าว นางกะพริบตาสะบัดความคิดไร้สาระออกจากหัว พยายามสะกดจิตใจตนเองให้อย่าได้อ่อนไหวไปกับอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นระหว่างห้วงเวลาหนึ่งมิตรชิดใกล้ บอกให้ตนเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้ก็แค่อยากตอบแทนที่ตนเองคอยปรุงยาดูแลเขาในยามป่วยก็เท่านั้น

ส่วนคำว่า ฮูหยิน นั่น คงเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบของชายทั่วไปตามที่ท่านพ่อเคยสั่งสอนนางไว้ว่า หากชายใดกล่าวถ้อยด้วยมธุรสวาจาหว่านล้อมแล้วย่อมแฝงไว้ด้วยเจตนาอันเป็นพิษ

“ความเจ็บปวดของเจ้าพอคลายลงบ้างหรือไม่” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแฝงไว้ด้วยความห่วงใยช่างลื่นหูพาให้ผู้ได้ฟังตกอยู่ในห้วงภวังค์ จนคนถามต้องเอ่ยถามอีกหลายครั้ง...

“เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร แม่นางเหมย ข้าถามว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้านวดคลึงขาของเจ้าจนจะกลายเป็นแป้งซาลาเปาไปเสียแล้ว”

“ห หะ หายแล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวยิ้มเก้อ ม้วนอายจนหน้าแดง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอย่างโครงเครง

“ข้านึกภาพหญิงใส่ชุดสีขาวไข่มุกงดงามเดินกะโผลกกะเผลกเก็บสมุนไพรไม่ออกเลยว่าจะดูน่าถึงขันเพียงไร” จางหย่งเอ่ยปรามาสหญิงสาวตรงหน้า ทั้งยิ้มเยาะนางตามสภาพที่เห็น

“ก็ท่านแกล้งข้านี่เจ้าคะ ยังจะมีหน้ามาหัวเราะข้าอีก ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ข้าหรือเจ้าคะที่จะสะดุดรากไม้นั่น ต้นไม้ในหุบเขาหมื่นพิษนี้มีกี่ต้น แม้แต่หญ้าบนพื้นข้าก็รู้เจ้าค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน...”สวี่กงเหมยร่ายยาวก่อนที่จะหยุดความคิดลงตรงใบหน้าของชายหนุ่มที่ลอยเข้ามาใกล้ ทำให้คำพูดทั้งหลายที่กำลังเรียงรายรอที่จะพรั่งพรูนั้นหายไปจากความคิดของนาง

“นี่ก็น่าจะใกล้ล่วงยามอู่แล้ว เห็นทีจะเก็บสมุนไพรไม่ทันเป็นแน่ถ้าแม่นางจะฝืนร่างกายที่จะเดินไปเอง เจ้าขึ้นบนหลังข้าเถอะข้าจะพาเจ้าไปเอง” จางหย่งพูดพลางก็นั่งลงหันหลังให้

“ไม่ดีหรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวมีผู้ใดมาเห็นเข้า”เด็กสาวชักเท้าถอยหลังหนีไปเพียงก้าว ชายผู้แปลงกายเป็นเสลี่ยงก็ขยับตัวเข้าหาตาม

“ขึ้นมาเถอะ อย่าได้ช้า เดี๋ยวจะเลยยามอู่เอานะ” สวี่กงเหมยมองแผ่นหลังกว้าง ก่อนที่จะเดินเข้าประชิดแผ่นหลังนั้น พลันสองแขนของเซวียนจางหย่งก็ช้อนรับร่างกายของนาง จนเด็กสาวสะดุ้ง อุ้ย ครั้นก็ลุกขึ้นยืนผสานเรือนร่างของนางให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแผ่นหลังของเขา

“ข้าจะเดินละนะ” จางหย่งค่อยเคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยมีสวี่กงเหมยนั่งเป็นแท่งอยู่บนแผ่นหลังของเขา

“นี่แม่นาง ทำตัวสบาย ๆ เถอะ เจ้าเกร็งข้าก็พลอยเกร็งไปด้วย”

“จ จะเจ้าค่ะ” เด็กสาวทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยเพราะนางไม่เพียงจะไม่รู้ว่าจะเลี้ยงตัวเองอยู่บนแผ่นหลังนี้อย่างไรให้ไม่เกร็ง แค่เพียงจะบังคับใจให้ไม่สั่นยังไม่อาจทำได้

แต่เมื่อเดินลึกเข้ายังป่าทึบ เด็กสาวก็เริ่มหลงลืมว่านางอยู่แผ่นหลังผู้อื่นที่ทำให้นางใจสั่น สองตาของเริ่มมองหาสิ่งที่นางต้องการในทันที

“โอ๊ะ...ข้าเจอกอดอกจำฉ่ายแล้ว ตรงนั้นเจ้าค่ะ”

“ตรงไหน...?”ชายหนุ่มมองตามนิ้วมือที่ชี้ไป

“นั่นไงเจ้าคะ...ตรงกอไม้ต้นนั้นเจ้าค่ะ”จางหย่งยังคงเดินตรงไปตามที่เขาเข้าใจ ทว่ามิใช่ตรงที่นางชี้เลยแม้แต่น้อย

“เหตุใดคนตัวโตจึงตาถั่วนักล่ะเจ้าคะ ข้าชี้ทางนี้ ทางนี้ ท่านก็เดินไปอีกทาง ไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ ข้าไม่มีเสียงที่จะชี้นำท่านแล้ว” สวี่กงเหมยเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะขยับตัวหยุกหยิกบนแผ่นหลังของจางหย่ง

“เดี๋ยวก็ตกไป” ถึงแม้เขาจะแข็งแรงกำยำแต่เมื่อแบกน้ำหนักเป็นเวลานานก็ย่อมอ่อนล้า

“ปล่อยข้าลงเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะลงไปเก็บเอง”

“เจ้าแน่ใจว่าไม่เจ็บแล้วแน่นะ” จางหย่งถามก่อนที่จะย่อตัวลงเพราะเขาเองก็เริ่มที่จะปวดบั้นเอวขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน

“ถึงข้าจะยังปวด แต่ข้าก็ต้องเก็บสมุนไพรเจ้าค่ะ”จางหย่งปล่อยเด็กสาวหลงจากแผ่นหลังของเขา นางก็เดินโขยกแขยกถือตะกร้ามุ่งหน้าไปยังกอจำฉ่ายที่ชูช่ออยู่ตรงหน้า

เซวียนจางหย่งทอดสายตามองสวี่กงเหมยที่กำลังรื่นรมย์ มือบางค่อยเด็ดดอกจำฉ่ายลงใส่ตะกร้าอย่างระมัดระวัง สีหน้าและแววตาของนางนั้นทำให้นักรบผู้หาญกล้าอย่างเซวียนจางหย่งมิอาจละสายตาไปทางอื่นได้เลย

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ