วันเวลาล่วงเข้าแรมเดือน สองชายชาตินักรบปรับตัวเข้ากับหุบเขาหมื่นพิษได้ดีราวกับเป็นบ้านอีกหลังของตนเอง เสิ่นเฉิงองครักษ์มือขวาของไท่เว่ย์ กินตำแหน่งเด็กเดินเสบียงและลูกมือต้นของครัวหมื่นพิษ โดยได้เบี้ยหวัดเป็นอาหารตำรับพิเศษที่ปรุงพิเศษขึ้นเพื่อเขา จนรูปร่างที่เคยสมส่วนอ้วนท้วนขึ้นจนแก้มเปล่ง ส่วนไท่เว่ย์ผู้ชำนาญการศึก เพลานี้เขาทำได้เพียงแต่กำชัยด้านการดื่มยาสมุนไพรรสประหลาดได้ดี เพราะไม่ว่าหมอยาจำเป็นจะปรุงตำรับหนักมือหย่อนขนานไป เขาก็ดื่มได้อย่างไม่มีบ่น
แต่ถึงอย่างไรผู้เป็นแม่ทัพอย่างไท่เว่ย์ก็ยังมิอาจที่จะวางใจให้ไม่นึกถึงค่ายหัวเมืองเหนือที่ถูกปล่อยทิ้งให้พวกเขาดูแลกันเอง เป็นโชคดีที่ไม่มีศึกใหญ่เข้ามารุกรานในตอนนี้ เขาจึงวางใจที่จะอยู่รักษาตัวที่หุบเขาหมื่นพิษนี้อย่างไม่ต้องเป็นกังวล จะมีอยู่ในบางครั้งที่เขาจะให้เสิ่นเฉิงกลับไปจับตาการเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อย แฝงตัวเข้าไปถามไถ่ชาวบ้านในหมู่บ้าน อีกทั้งนำข่าวสารเขาไปแจ้งแก่ผู้นำทัพหัวเมืองอื่น ๆ อยู่หลายครา
วันนี้เป็นอีกวันที่เขาต้องดื่มยาที่ปรุงโดยแม่หมอยาจำเป็น ในคราแรกอคติของเขานั้นรุนแรงด้วยเพราะนางยังเป็นเด็กที่พร้อมจะเล่นสนุกตลอดเวลา เขาไม่อาจฝากชีวิตที่แบกความมั่นคงของบ้านเมืองไว้กับเด็กสาวอย่างนางได้ เมื่อมาถึงวันนี้เขาแข็งแรงขึ้นมากไม่ปวดล้าร่างกายและเหนื่อยง่ายเช่นก่อนเข้ารับการรักษา นางก็เป็นส่วนหนึ่งให้เขาเริ่มดีขึ้น ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาเท่านั้นที่ดีขึ้น ทั้งจิตใจของเขาก็รู้สึกเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
จากที่เคยหลบหน้าก็กลับกลายเป็นตั้งตารอ คอยการมาของใครบางคนอยู่บนตั่งในทุกวัน
“ไท่เว่ย์ข้ามาแล้ว” น้ำเสียงสดใสที่ดังขึ้นตรงหน้าประตูพาให้ดวงตาคมของคนรอคอยที่จดจ้องมองไปทางประตูสุกใสเป็นประกาย ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงหวานจะผ่านประตูจวนเข้ามายืนต่อหน้าเขา
“ยามาแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านตรงนี้เถิด” เจ้าของนัยน์ตาหวานมองสบตาคนที่นั่งอยู่บนตั่ง ก่อนที่จะขยับเก้าอี้มาไว้ใกล้โต๊ะ พลางก็พูดต่อ “วันนี้ข้าอยู่คุยเล่นกับท่านนานไม่ได้ ประเดี๋ยวแสงยามอู่จะพานให้ดอกจำฉ่ายของข้าหุบหมดจะขาดคุณสมบัติในการปรุงยา” นางตั้งอกตั้งใจรินยาลงจอกแล้วส่งให้คนตัวโตที่เดินมานั่งลงตรงหน้านางแต่โดยดี
“อืม...อร่อย” เด็กสาวละสายตาจากตะกร้าบนโต๊ะมามองคนตัวโตแล้วหัวเราะออกมาแต่น้อย
“ยานะเจ้าคะ มิใช่ขนมหวาน จะอร่อยได้เยี่ยงไร” สวี่กงเหมยเอ่ยถาม ดวงตาเล็กค้อนคล้อยเยาะยิ้มที่มุมปากพลางมือก็รินยาลงจอกแล้วส่งให้ผู้ไข้ จ้องมองคนตัวโตซดยาลงคออย่างง่ายดายราวกับน้ำซุป
“สามจอกนะเจ้าคะ” เจ้าของดวงหน้าคมพยักหน้ารับ ครั้นก็ยื่นมือรับจอกยาไปจากมือเนียนนุ่ม
“หากข้าดื่มจอกนี้หมดได้ในคราวเดียว เจ้าต้องให้ข้าไปเก็บสมุนไพรกับเจ้าด้วย” เด็กสาวมองกลับพลันก็ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านต้องพักก่อนที่จะรับการฝังเข็มในยามเซิน” ซุ่มเสียงเด็ดขาดเอ่ยปราม
“วันนี้ข้าไม่ต้องฝังเข็ม”
“อย่างไรเจ้าคะ?”
“เมื่อวานข้าฝังครบสิบครั้งแล้ว ตั่วฟางซื่อบอกข้าเป็นครั้งสุดท้ายของหน่วยการรักษาแรก” ชายหนุ่มเยาะยิ้มมั่นใจในข้อต่อรองของตนเอง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เซวียนจางหย่งก็กระดกยาจอกสุดท้ายลงคอไปอย่างง่ายดาย
“เจ้าต้องทำตามสัญญา” เขาค่อยวางจอกยาลงบนโต๊ะ ดวงตาจ้องมองดวงหน้านวลของเด็กสาว มุมปากยกยิ้มสายตาแพรวพรายไปด้วยเล่ห์กล
“ไม่ทำเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ให้สัญญาใดไว้กับท่าน” ซุ่มเสียงแข็งขืนเอ่ยเถียง ก่อนที่จะหยิบจอกยาวางลงในตะกร้าแล้วรีบเดินออกจากจวน ทว่าคนตัวโตรีบวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้ไม่ให้ได้ออกไป
“เข้าไปพักผ่อนเจ้าค่ะ” เด็กสาวสืบเท้าเข้าหลอกล่อ เผื่อได้ทีนางก็จะถือโอกาสวิ่งออกไป
“ไม่เข้า” สวี่กงเหมยขมวดคิ้ว เงยหน้ามองใบหน้าคนดื้อรั้น พลันดวงหน้าหล่อเหลาก็ทอดสายตาลงมองคนตัวเล็กตรงหน้าพาให้สองสายตาบรรจบกัน ความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งแล่นแทรกเข้ามายังใจกลางความรู้สึก จนทั้งสองต้องผละสายตาออกจากกัน ครั้นหัวใจในอกของนางก็เต้นตึกตักอย่างแปลกประหลาดดังที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เผลอมือผลักอกชายฉกรรจ์บ่าสูงท่วมหัวตรงหน้าดัง อุก แล้วหุนหันออกไป
“นี่...เจ้า!” สองเท้าก้าวฉับไวตามเด็กสาวที่เดินงุดหน้าเดินด้วยความเขินอายจนชายเสื้อพลิ้ว
สวี่กงเหมยใจสั่นด้วยไม่เคยใกล้ชิดกับชายอื่นที่ไม่ใช่บิดาหรือศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองมากถึงเพียงนี้ นางใช้มือข้างหนึ่งกดลงตรงอกซ้ายที่เต้นรัวไม่หยุด สองเท้ามุ่งตรงเข้าป่าสายตาไม่แลสองข้างทาง
“นี่...เจ้า!” คนตัวโตเอ่ยปากเรียก เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามสองขาของเด็กสาวอย่างก้าวต่อก้าว
“หน้าเจ้าแดง ๆ นะ ท่าจะไม่สบาย เสด็จยายของข้า เอ๊ย...ไทเฮาชอบทักเวลาที่ข้าหน้าแดงเพราะเล่นตากแดดจนได้ไข้อยู่บ่อย ๆ เจ้าเองก็ท่าจะไม่สบาย ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยเถอะนะ เผื่อเจ้าเป็นลมเป็นแร้งตอนไปเก็บสมุนไพรอย่างไรล่ะ” คำพูดของชายหนุ่มพาให้สวี่กงเหมยชะงักเท้าหยุดเดิน แล้วหันไปมองหน้าของเขาในทันที
“คนแบบไหนกันถึงมีเสด็จยายกันน่ะ ท่านเป็นแค่ไท่เว่ย์หรือมากกว่านั้น” นัยน์ตากลมใสซื่อมองถามคนตรงหน้า
“เจ้าอยากเป็นฮูหยินของข้าไหมล่ะ?” คำถามอุกอาจพาให้ดวงตาทั้งสองคู่จดจ้องกันราวกับโลกหยุดหมุน
สวี่กงเหมยกะพริบเปลือกตาถี่ ๆ งุนงงกับคำชี้ชวนของชายตรงหน้า ถึงนางจะเป็นเด็กสาวบ้านป่านางก็พอรู้ว่า ฮูหยิน ที่เขาชักชวนคือสถานะใด จึงทำได้แต่เพียงสะบัดหน้าละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าด้วยความเขินอาย ในยามนี้นางไม่อาจมองเขาเป็นเพียงผู้ไข้ตัวโตที่นางดูแลได้อีกต่อไป ปราณในร่างกายของนางปั่นป่วนทั้งร้อนวูบและเย็นวาบ นางไม่รู้เลยว่าเขาเริ่มคิดเกินเลยกับนางเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน สวี่กงเหมยย้อนถามหัวใจที่เต้นรัวของตนเองจนดวงตาพร่ามัว
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?