ตอนที่ 15 สามจอก ต้องหมด

“ท่านพ่อให้นำยามาให้เจ้าค่ะ” เด็กสาวพูดพลางก็วางตะกร้าหม้อยาลงบนโต๊ะกลมก่อนที่จะค่อยรินมันลงจอก แล้วเดินนำไปให้คนที่นั่งรออยู่กลางตั่งที่กำลังส่งนัยน์ตาเหยี่ยวมาจับจ้องนางราวกับเหยื่ออย่างเอาเป็นเอาตาย กระแสสายตาของเขาพานให้กงเหมยออกอาการประหม่าจนมือไม้สั่นจึงปรายสายตาหลบ ขณะที่กำลังยื่นจอกยาให้เขา

‘หึ’ เสียงอุทานในลำคอ ทำให้นางหันกลับมามองคนตรงหน้า

“ข ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ” เด็กสาวเบิกตาโต ลนลานหยิบชายแขนเสื้อของตนเช็ดลงบนชายแขนเสื้อของคนตรงหน้าที่มีรอยเปื้อนเป็นสีน้ำตาลเข้มดวงใหญ่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะในลำคอ เด็กสาวรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังโดนคนตัวโตหยอกเข้าแล้ว

“เร่งดื่มเข้าสิเจ้าคะ อย่าได้มัวแต่จะคิดเล่นแต่เพียงอย่างเดียว หากยาเย็นแล้วพิษจะกลับรุนแรงนะเจ้าคะ แทนที่ยาตำรับนี้จะใช้รักษาก็จะกลายเป็นยาพิษไป พาให้ท่านไปเฝ้าเง็กเซียนได้เร็วขึ้น” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่พอเห็นสีหน้าแหยเกของคนตรงหน้าขณะที่กรอกยาลงคอก็พอที่จะหายเคืองลงได้

“มีอีกสองจอกนะเจ้าคะ ต้องดื่มอย่างรวดเร็วในคราวเดียว” นางรับจอกยาเปล่ากลับมา พลางก็รินยาใส่จอกใหม่แล้วส่งให้จางหย่งอีก

“ดื่มเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเล็กคะยั้นคะยอ

“มันยังร้อนอยู่ จะให้ลวกคอข้าหรืออย่างไร” คนรับจอกยาออกปาก

“ร้อนสิดีเจ้าค่ะ ลวกคำพูดไม่ดีออกจากคอไปเลย” เด็กสาวพูดทิ้งหางเสียงเบาจนคนที่กำลังประคองจอกยาได้ยินไม่ถนัดหู

“เจ้าว่าอย่างไรนะ”

“ดื่มเถิดเจ้าค่ะ ข้าก็พูดบ่นอะไรไปเรื่อย” เด็กสาวพยักพเยิดหน้าให้คนตรงหน้าทำตามคำสั่งของนาง ชายหนุ่มยกจอกยาสุดท้ายเทลงคอ เปลือกตาบดบี้เพราะจอกที่สามนั้นรวมก้นเข้มข้นของตำรับยาไว้ด้วย

“เหตุใดจอกสุดท้ายจึงดุเดือดนัก ข้าร้อนคอ ขมคอไปหมด” เด็กสาวได้ยินก็เยาะยิ้มแต่น้อยในสีหน้า

“ท่านคงรู้สึกไปเองแหละเจ้าค่ะ ท่านก็เห็นอยู่ว่าข้ามิได้ใส่สิ่งใดเพิ่มลงไป รสชาติจะเปลี่ยนไปจากจอกแรกได้อย่างไรเจ้าคะ” เด็กสาวรับจอกยาคืนมาแล้วเก็บรวมจอกยาลงใส่ตะกร้า

“ข้าต้องดื่มยาเช่นนี้อีกนานเท่าไร” คนน้ำเสียงผะอืดผะอมเอ่ยถาม

“ข้าเป็นแค่คนเดินยา หาใช่ผู้ให้การรักษาไม่ เรื่องการรักษานี้ท่านคงต้องถามกับท่านพ่อเอง” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ตระหนักในส่วนที่กงเหมยตอบ

“แม่นาง แม่นางเดินอาหารด้วยหรือไม่ ข้ากับไท่เว่ย์ยังไม่ได้รับอาหารเลยขอรับ” สวี่กงเหมยชะงักขาที่กำลังก้าวย่างไปข้างหน้านิดหนึ่งแล้วหันกลับมามองคนถาม

“ท่านควรถามว่า โรงครัวอยู่ตรงไหนมากกว่านะท่านองครักษ์ เพราะถ้าท่านหิว ท่านก็เดินไปรับอาหารได้จากที่นั่น ศิษย์พี่รองของข้าปรุงอาหารไม่ต่ำกว่าสี่ถึงห้าสำรับต่อวัน ทว่าเป็นอาหารแบบชาวป่าชาวบ้าน หาได้รสเลิศเหมือนในรั้วในวังไม่” ชายหนุ่มตัวโตหยักไหล่ ขมวดคิ้วให้กับกริยาของเด็กสาว

“นี่ข้ารบกวนนางมากเกินไปหรือขอรับ” เสิ่นเฉิงทอดสายตาอันเต็มไปด้วยคำถามต่อผู้เป็นนาย ทว่าได้คำตอบกลับมาเพียงแค่ปลายนิ้วมือสะบัดเท่านั้น พาให้เสิ่นเฉิงรู้ว่าต่อแต่นี้เขาต้องทำหน้าที่เด็กเดินเสบียงด้วยตนเอง

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปจัดสำรับก่อนนะขอรับ” จางหย่งสะบัดหลังมือเบา ๆ เป็นการอนุญาตพลางก็หันหน้าหนีเสิ่นเฉิงไปทางอื่น

“ไท่เว่ย์ไหวนะขอรับ” ทั้งที่ท้องหิวจนไส้แทบกิ่ว เสิ่นเฉิงก็ไม่วายที่จะเป็นห่วงผู้ที่นั่งทำหน้าหน้าแหยเกตัวเกร็งอยู่บนตั่ง

ก่อนที่จะยื่นใบหน้าของเขาเข้าใกล้ ครั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถามให้แน่ใจอีกครั้ง จนจางหย่งต้องพยักหน้าเบา ๆ ด้วยเพราะยาเริ่มเดินไปตามกระแสเลือดจนปราณขับเคลื่อนให้ลมตีกลิ่นสมุนไพรขึ้นมาแตะจมูก ชวนให้สำลักออกมาอยู่รอมล่อ

“ข้าไปนะขอรับ” เสิ่นเฉินยืนดูอาการจางหย่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะออกจากจวนตรงไปยังเรือนประกอบอาหารโดยมีกลิ่นอาหารนำทางให้ไม่หลงทิศ

เพียงครู่เดียวสำรับหลายประเภทก็ถูกแต่งอยู่บนโต๊ะกลม กลิ่นหอมหวนของอาหารชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะของจางหย่งขับเคลื่อน เขาจึงพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้หัวโล้นโดยไม่ต้องรอให้เสิ่นเฉิงกล่าวเชิญ

“นี่สำรับของท่านขอรับไท่เว่ย์” สองตาคมมองสำรับกับข้าวตรงหน้า ที่มีเพียงข้าวสวยหนึ่งถ้วยและปลานึ่งเพียงครึ่งซีก ทำให้เขาเหลือบตามององครักษ์คู่ใจในทันที

เสิ่นเฉิงสัมผัสแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของจางหย่งได้จึงเอ่ยปากชี้แจง “สำรับของท่านมีเพียงเท่านี้ขอรับ ตั่วฟางซื่อท่านกำหนดมา”

“ตั่วฟางซื่อชังข้าหรืออย่างไรกัน จึงให้ลิงยักษ์เช่นข้ากินข้าวเท่ากบาลเซ่นไป๊ฮ้อเฮียตี๋”จางหย่งเอ่ยตัดพ้อทว่ามือหนึ่งคว้าเอาตะเกียบยึดไว้ในมือมั่นส่วนอีกมือกอบถ้วยข้าวไว้ในอุ้งมือ ด้วยสิอาจทานทนความต้องการของร่างกายได้

“ท่านอย่าได้เข้าใจผิดตั่วฟางซื่อเลยขอรับ ที่ตั่วฟางซื่อสั่งเช่นนี้ก็เพราะยาสมุนไพรขับพิษนั้นก็มีฤทธิ์ขับลมด้วย ตั่วฟางซื่อคงเกรงว่าอาหารหลายรสชาติอาจทำให้ท่านอาจผะอืดผะอมจนอยากจะอาเจียนออกมา” คำพูดของเสิ่นเฉิงพาให้จางหย่งเริ่มที่จะเชื่อเช่นนั้น หากแต่เมื่อฟังเขาเอ่ยต่อ

“ตั่วฟางซื่อท่านคงเสียดายของน่ะขอรับ” คำพูดหยอกล้อเช่นมิตรสหายของเสิ่นเฉิง ทำเอาคนตรงหน้ามองเข้มด้วยแววตาปราม จนคนพูดต้อง หัวเราะยิงฟัน ฮี่ ฮี่ แก้เก้อจนเปลือกตาปิดลงด้วยกัน

“เชิญไท่เว่ย์เจี่ยะปึ่งเถอะขอรับ” เสิ่นเฉิงเอ่ยก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้หัวโล้นอีกตัว แล้วใช้ตะเกียบคีบสำรับกินอีกสามสี่อย่างที่เขาตั้งใจจัดมาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางสายตาริษยาของใครบางคนจ้องมองอยู่

เสิ่นเฉิงกลืนข้าวก้อนใหญ่ลงคอจนกระเดือกคอโป่ง ด้วยรีบที่จะบอกเรื่องที่ลี่อินฝากตนมาแจ้งแก่จางหย่ง

“เห็นว่าช่วงบ่ายจะต้องรักษาด้วยการฝังเข็มนะขอรับ” ทันทีที่จางหย่งได้ยินสิ่งที่เสิ่นเฉินกล่าวก็เผลอทำตะเกียบหลุดจากมือ

“กลัวเหรอขอรับ” เสิ่นเฉิงดูดตะเกียบทำหน้าทะเล้นล้อเลียน นึกถึงตอนที่ตนใช้เข็มบ่งเสี้ยนที่หลังมือให้จางหย่งน้อย ใบหน้าที่กลั้นเจ็บจนยับย่นชวนให้ได้ยิ้มในทุกทีที่นึกถึง

“นี่เจ้า...!” จางหย่งหน้าถอดสี ก่อนที่จะหยิบตะเกียบที่ตกจากมือขึ้นประคองอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใดใช่หรือไม่” คนน้ำเสียงกว้างละล่ำละลักพูด จ้องมองนัยน์ตาคนตรงหน้าคาดคั้นเอาคำตอบ จนเสิ่นเฉิงยอมที่จะพยักหน้าแล้วให้คำตอบว่า “ยังขอรับ” เพราะเขายังจดจำหวาดเสียวของปลายแหลมเมื่อสัมผัสลงกับผิวได้ดี แค่เห็นความคมวาวของมันก็ทำให้น้ำในท่อปัสสาวะเดินเลยทีเดียว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ