ชายหนุ่มจึงรีบดึงสายบังเหียนเจ้าม้าเข้ายึดกับต้นไม้บริเวณนั้น ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวเข้าไปช้อนเรือนเอวของเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน ครั้นก็แฝงตัวเข้ากับหลังต้นไม้ใหญ่ หลี่หลิวอวี่ได้เห็นเช่นนั้นก็ตามทั้งสองคนเข้าไปยังหลังต้นไม้ ด้วยเพราะท่าทีของไท่เว่ย์ดูจริงจังเขาจึงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ทว่าเด็กสาวกลับเบิกตาโต ตั้งท่าอ้าปากถามออกมาได้เพียงครึ่งคำก็โดนมือกร้านบังกั้นมิให้ซุ่มเสียงได้เล็ดลอดออกมา จึงได้สงบนิ่งอยู่ภายใต้อ้อมกอดแกร่งของเขาอย่างยินยอม
เพียงแค่ลมพัดผ่านไปวูบหนึ่งเสียงกลีบเท้าม้าก็แล่นเข้ามาใกล้ ก่อนที่ม้าสีขาวมอตัวขนาดย่อมจะมาหยุดอยู่ตรงกลางลานที่พวกเขาเลือกปักหลักลงพัก ฝีเท้าของมันเยาะย่างอย่างสงบ เจ้าของแผงคอสีเงินค่อยก้มหน้าเล็มหญ้าอย่างเย็นใจ เซวียนจางหย่งเงี่ยงหูฟังเสียงฝีเท้าอื่นที่แฝงเข้ามาแต่ก็เงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหวอื่น เขาจึงชะโงกหน้าออกสังเกต พบแต่เพียงม้าสีเงินที่สงบเงียบแต่เพียงเท่านั้น
เขากวาดตามองสวี่กงเหมยและศิษย์พี่รองของนาง ครั้นก็ยกนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากตนเองเป็นสัญญาณห้ามส่งเสียง ทั้งสองพยักหน้ารับด้วยรับรู้สัญญาณนั้น ก่อนที่เขาจะค่อยย่างออกไปจากที่หลบ มือหนึ่งกำลำดาบแน่น อีกมือหนึ่งพร้อมดึงมันออกจากฝักทันทีที่ถูกจู่โจม
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ สายตาของเขาจับจ้องไปทางหนึ่งตามความรู้สึก ทั้งหูก็เงี่ยงฟังเสียงจากทิศอื่น ครั้นจมูกก็คอยรับรู้ถึงกลิ่นความเคลื่อนไหว เขารู้สึกประหม่าที่สุดเท่าที่เคยออกรบ กรำศึก จางหย่งถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขาหวาดระแวงได้มากมายถึงเช่นนี้กับตัวเอง ก่อนที่จะพบว่าเขารู้สึกเป็นห่วงเด็กสาวที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ยิ่งนัก จึงได้ออกอาการกลัวเป็นอย่างหนัก นี่เขาคิดจริงจังกับเด็กสาวผู้นี้แล้วจริง ๆ หรือ วันก่อนเขาไม่น่าแกล้งแต่งตั้งให้นางเป็นฮูหยินของเขา ทว่าวันนี้เขากลับอยากให้นางอยู่เคียงข้างเขา เป็นฮูหยินของเขาจริง ๆ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
พลันเสียงฝีเท้าม้าก็กระชั้นเข้ามาในบริเวณ มือกร้านกุมอยู่บนฝักดาบมั่น ก่อนที่จะคลายออกอย่างโล่งใจ
“เจ้าม้าตัวนี้ รู้ความมากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากทีเดียว” ซุ่มเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าที่สงบลง บุรุษรูปร่างสันทัดเหยียบเดือยเหล็กพลิ้วตัวลงจากหลังม้าอย่างเร็วไว
“เป็นเจ้านั่นเอง” จางหย่งลอบถอนหายใจ ดันคมดาบเข้าคืนฝักจนสนิท
“ขอรับไท่เว่ย์” เสิ่นเฉิงประสานมือคำนับ
ครั้นเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย หลี่หลิวอวี่จึงโผล่หน้าออกมาจากหลังต้นไม้ พบว่าเป็นเสิ่นเฉิงอย่างที่เขารู้สึก เขาจึงพยักหน้าให้สัญญาณปลอดภัยแก่อาเหมยศิษย์ผู้น้องของเขา แล้วทั้งสองจะพากันออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เด็กสาวตรงเดินตรงรี่เข้าหาหม้อสมุนไพรที่กำลังต้มเดือดได้ที่ และหลี่หลิวอวี่ก็ตรงเข้าหาเตาอุ่นอาหารชั่วคราวที่เขาสร้างขึ้นเฉพาะหน้า ทั้งสองง่วนอยู่กับเตาไฟตรงหน้าไม่ทันได้ตั้งใจฟังสิ่งที่เสิ่นเฉิงแจ้งกับไท่เว่ย์
“ยาเจ้าค่ะ ไท่เว่ย์” เด็กสาวเดินเข้ามาหาเซวียนจางหย่งที่นั่งอยู่ยังรากไม้แขนงหนึ่ง มือบางยื่นจอกยาเข้ามาให้ ชายหนุ่มรับจอกยามาไว้ในมือก่อนที่จะเงยหน้ามองเด็กสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จนเต็มความสูง ครั้นก็กรอกยาลงใส่คอเพียงรวดเดียว แล้วยื่นจอกยาที่หมดจดคืนให้สวี่กงเหมย เด็กสาวรับจอกยาคืนครั้นก็รินยาลงใส่จอกอีกใส่ให้เหมือนดังในทุกวัน
“ไท่เว่ย์...เดี๋ยวยาจะหกเอานะเจ้าคะ” สวี่กงเหมยออกปาก ด้วยโดนเจ้าของมือกร้านรั้งข้อมือของนางเอาไว้
“เจ้าก็นั่งลงสิ ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดยืนสูงกว่าหัวข้า” ซุ่มเสียงเข้มเอ่ยเชิงหยอกล้อ
“โอะ...อย่างไรเจ้าคะ”เด็กสาวยึดยื้อข้อมือของตน ครั้นคิ้วก็ผูกเข้าหากัน ปรายตามองบุรุษตรงหน้าด้วยความสงสัย
“นั่งลงข้างข้าสิ ข้าจะบอกให้เจ้าได้เข้าใจ” สวี่กงเหมยค่อยทรุดตัวลงนั่งข้างชายหนุ่ม นางไม่ได้อยากจะฟังคำอธิบายของเซวียนจางหย่ง และนางก็ไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจอุบายตื้น ๆ ของคนตรงหน้าตามที่เขาเข้าใจ
“ดื่มเข้าสิเจ้าคะ ข้านั่งอยู่ข้างท่านแล้ว”เซวียนจางหย่งยกยาจอกที่สองซดลงคอหมดตามที่สวี่กงเหมยออกปากสั่ง ก่อนที่จะยื่นจอกยาเปล่าคืนให้เด็กสาว
เจ้าของสายตาคมจับจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวในทุกกริยา ภายใต้สรรพเสียงของธรรมชาติเกิดพลังดึงดูดประหลาดสายหนึ่งเข้าขับเคลื่อนภายในใจ เขาไม่อาจละสายตาจากเด็กสาวตรงหน้าไปได้และด้วยพลังแห่งแรงดึงดูดนั้นพาให้นัยน์ตาของคนทั้งคู่ต้องประสานกัน
“...”
ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นภายในใจของคนทั้งคู่ทำให้ทั้งสองผละสายตาออกจากกัน สวี่กงเหมยเบือนใบหน้าอ่อนวัยที่เห่อระเรื่อราวกับผลท้อสุกออกไปอีกทาง ครั้นก็ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อรับรู้ถึงความร้อนผ่าวที่เห่อขึ้นบนใบหน้า หัวใจในอกเต้นแรงเสียจนทำให้นางเหนื่อยอ่อนราวกับเพิ่งใช้กำลังภายในยกตัวป่ายปีนขึ้นผาสูง
“ข ขะ ข้าจะรีบรินให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” ฝ่ามือชุ่มเหงื่อสั่นเทา ค่อยยกหม้อชาที่ใช้ต้มยาชั่วคราวเทยาจอกสุดท้ายให้คนที่สะกิดนางที่แขนให้ได้รู้สึกอย่างระมัดระวัง
“นะ นะ นี่เจ้าค่ะ” มือบางประคองจอกยาที่สั่นไหวมิให้กระชอก ยื่นให้คนที่นั่งอยู่เคียงข้างอย่างไม่เหลียวมอง ก่อนที่มันจะถูกรับไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นเพียงแค่อึดใจ สิ่งหนึ่งก็ถูกหยิบยื่นเข้ามาให้ตรงหน้า
“ขะ ข้าไปเอาเองได้เจ้าค่ะ ไท่เว่ย์...!” ซาลาเปาลูกโตในมือของคนตรงหน้า ทำให้นางรีบพูดอย่างใจคิดออกมาก่อนที่จะเหลือบตาขึ้นมอง
“ข้าเสิ่นเฉิงแม่นาง หาใช่ไท่เว่ย์ไม่” ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดยืนส่งยิ้มแป้นมาให้นางอย่างสงบ
“อ อะ อ อ้าว...”สวี่กงเหมยกวาดสายตาออกมองหาคนที่นางยื่นจอกยาให้
“แม่นาง ท่านมองหาไท่เว่ย์หรือขอรับ” น้ำคำที่ล่วงรู้ราวกับตาเห็นของเสิ่นเฉิงทำให้เด็กสาวถึงกับเผลอมองจ้องเขาอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะกระพริบตาถี่ ๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างวู่วาม
“มะ มะ ไม่นิ” น้ำเสียงเล็กเอ่ยปฏิเสธ ครั้นก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ใส่ใจแผ่นพื้นบริเวณนั้น
‘อ๊ายยย’ เด็กสาวร้องเสียงหลงทันทีที่เหยียบลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง พาให้นางโซซัดโซเซอยู่กลางอากาศอยู่ชั่วครู่หนึ่ง สองแขนแกว่งไกวพอที่จะถ่วงดุลมิให้ร่างกายล้มกระแทกกับหินทุบก้อนใหญ่กว่ากำปั้นที่เรียงรายไม่เป็นระเบียบบนพื้นโดยพลัน แต่จะยึดยื้อได้อีกเท่าใดกัน นางคงต้านทานแรงถ่วงของโลกได้อีกไม่กี่เสี้ยวทรายไหล ไม่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของนางก็จะกระทบกับก้อนหินเหล่านี้เป็นแน่
‘หมับ’ กำลังหนึ่งเข้ามารองรับร่างกายของนาง หยุดยั้งความหวาดกลัวที่มีอยู่ในใจพาความรู้สึกปลอดภัยเข้ามาแทนที่
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?