“ได้ ข้าจะรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านอาจารย์ของเจ้าจะกลับมา ว่าแต่เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ ข้าชื่อหานว่านอี้” หานว่านอี้เอ่ยปากรับคำตามคำที่เด็กหญิงแจ้ง พลางเอ่ยถามชื่อของเด็กหญิงตรงหน้า
“ข้าชื่อถงถงอายุสิบขวบ ท่านย่าของข้าเป็นแม่นมของท่านอาจารย์ ในเรือนเฉิงอี้มีคนอาศัยทั้งหมดสามคนเจ้าค่ะ มีท่านอาจารย์ ท่านย่า และก็ข้า แต่ตอนนี้ก็เป็นสี่คนแล้ว รวมนายหญิงด้วย” ถงถงเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มไปให้
“เหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าว่านายหญิง และช่างแปลกนัก เรือนเฉิงอี้ไม่มีบ่าวรับใช้หรือ” หานว่านอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ ส่วนว่าเหตุใดจึงไม่มีบ่าวรับใช้ เป็นเพราะว่าท่านอาจารย์ไม่ชอบความวุ่นวาย ท่านย่าทำอาหาร ซักผ้า ข้าก็ทำความสะอาดเรือน ตั้งแต่ข้าจำความได้ก็มีคนอยู่แค่นี้เจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั่นหรอกหรือ” หานว่านอี้นึกแปลกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าอาจารย์สำนักศึกษาฝูเถาเช่นชุยเทียนหนิงจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่พอดีเช่นนี้ รอบกายนางไม่ว่าจะในอดีตตอนเป็นอานเมิ่งเหยา หรือแม้แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างหานว่านอี้ ผู้คนที่มียศศักดิ์หรือตำแหน่งมักจะชูคอราวกับตนเองเป็นคนใหญ่คนโตคับฟ้าดิน ต่อให้ยศฐานั้นจะแสนต่ำต้อยแต่พวกเขาก็จะพยายามหาคนที่ต่ำต้อยยิ่งกว่ามากดขี่ สัจธรรมของมนุษย์เป็นเช่นนั้นซึ่งนางเห็นมาจนชินตา
“นายหญิง ข้าไปเอาสำรับเช้าก่อนนะเจ้าคะ จะได้บอกท่านย่าต้มยาให้นายหญิงด้วยเจ้าค่ะ” ถงถงเด็กน้อยเอ่ยขอตัวออกไปจัดการเรื่องอาหารและยาให้กับนายหญิงคนใหม่ด้วยความกระตือรือร้น
หานว่านอี้จึงได้พยักหน้าไปหนึ่งที เมื่อถงถงตัวน้อยกลับมานางก็ยกถาดยามาหนึ่งถาด
“นายหญิง ยากำลังอุ่น ๆ ท่านดื่มสักหน่อย ท่านย่าทำตามที่ท่านหมอหูกำชับมาเลยนะเจ้าคะ ท่านหมอหูกำชับว่าต้องดื่มก่อนมื้ออาหาร จะทำให้นายหญิงกินอาหารได้บ้างเจ้าค่ะ” ถงถงวางถาดยาไว้บนโต๊ะตรงหน้าหานว่านอี้พลางเอ่ยอธิบายเสียงใส
“ขอบใจเจ้ามาก” หานว่านอี้ยกถ้วยยาขึ้นดื่มอย่างไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยอันใด ที่นี่ปลอดภัยสำหรับนางและบุตรในครรภ์ เป็นสิ่งสุดแสนวิเศษที่หานวานอี้ไม่คิดว่าชุยเทียนหนิงจะมอบให้
เขาให้ที่ซุกหัวนอนแก่นางทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก เขาช่วยเหลือนางจากเดนมนุษย์ที่ข่มเหงรังแก ทั้งเขายังคอยดูแลประคบประหงมตลอดการเดินทางแม้ว่านางจะป่วยหรือแพ้ท้องจนทำให้ลำบาก แต่ชุยเทียนหนิงก็ไม่เคยแม้แต่จะปริปากบ่นอันใดสักคำ
“ท่านย่าจะยกสำรับมาให้นายหญิงหลังจากนี้อีกครึ่งเค่อเจ้าค่ะ” ถงถงตัวน้อยยกถ้วยน้ำเปล่ายื่นส่งให้กับนายหญิงคนใหม่เพื่อใช้ล้างปากจากความขมของยาพลางเอ่ยแจ้งถึงเรื่องอาหารไปด้วย
รอตามที่เด็กหญิงกล่าวก็มีเสียงเคาะประตูและถูกเปิดด้วยหญิงสูงวัยแต่ไม่ถึงกับแก่ชรา นางเดินถือถาดอาหารเข้ามายังที่หานว่านอี้นั่งอยู่
“นายหญิงเจ้าคะ น้ำแกงไก่อันนี้ข้าตุ๋นตั้งแต่ยามเช้า อุ่นกำลังดี นายหญิงกินสักหน่อยนะเจ้าคะ ท่านหมอหูกำชับให้นายหญิงพยายามหรือฝืนใจกินสักนิดเพื่อเจ้าก้อนแป้งเจ้าค่ะ” จี้เหมย หรือท่านย่าจี้ที่ถงถงเอ่ยถึง วางน้ำแกงไก่พร้อมข้าวสวยลงบนโต๊ะพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นายหญิงเจ้าคะ นี่คือท่านย่าจี้เหมย เป็นท่านย่าของข้าเอง และเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูท่านอาจารย์มาตั้งแต่เล็กเจ้าค่ะ”
“คารวะท่านป้าจี้เจ้าค่ะ” หานว่านอี้เอ่ยทักทายหญิงสูงวัยไปตามมารยาท
“นายหญิง อย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านเป็นแขกของอาจารย์ชุย ข้าเป็นเพียงคนทำงานที่นี่เพียงเท่านั้น เกรงว่าข้าจะรับไม่ไหวเจ้าค่ะ” จี้เหมยรีบเอ่ยคัดค้านหานว่านอี้ทันที
“ท่านป้าจี้ ข้านั่นกลายเป็นคนไร้บ้านให้กลับไปแล้ว หาได้เป็นนายหญิงอย่างเช่นที่ท่านป้าจี้กับถงถงเข้าใจไม่ ข้านั้นยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน หนทางข้างหน้าช่างมืดมนเหลือเกิน” หานว่านอี้เมื่อได้รับการต้อนรับที่ดีของเรือนเฉิงอี้ก็ให้ตื้นตันใจไม่น้อย นางเอ่ยออกมาพร้อมกับหยาดน้ำสีใสเอ่อคลอเต็มสองตาสวย ด้วยรับรู้ว่าหนทางข้างหน้าช่างหาทางออกไม่เจอ
“นายหญิง อาจารย์ชุยบอกไว้แล้วว่าเมื่อท่านฟื้นแล้วให้รออาจารย์ชุยก่อน ข้าเชื่อว่าเช่นไรเขาคงมีทางออกให้กับนายหญิงเป็นแน่ เช่นนั้นอย่าเพิ่งคิดอะไรเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้นายหญิงเพียงกินมื้อเช้าให้อร่อย ถึงแม้ท่านไม่หิวแต่เจ้าก้อนแป้งในท้องคงหิวมากเป็นแน่” จี้เหมยเอ่ยปลอบใจหญิงรุ่นลูกอย่างอ่อนโยน
เฮ้อ นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ฟังจากที่อาจารย์ชุยเล่าแล้วก็ได้แต่เวทนา เกิดเป็นหญิงว่าลำบากแล้วยังต้องมาถูกหย่าขาด ทั้งยังตั้งครรภ์ หญิงตัวคนเดียวเช่นนี้คาดว่าคงผ่านช่วงเวลาได้ยากยิ่ง
“ขอบใจถงถงและท่านป้าจี้ที่เมตตาข้านะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ทำอันใดแม้แต่น้อย ท่านรีบกินตอนร้อน ๆ เถอะเจ้าค่ะ ถงถงเจ้าอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงนะ ย่าจะกลับไปทำงานในครัวต่อ” จี้เหมยเอ่ยให้หานว่านอี้รีบกินมื้อเช้าพลางบอกให้หลานสาวอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงคนใหม่ คนพลัดบ้านมาก็คงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ไม่น้อย ให้เจ้าจอมวุ่นถงถงน้อยอยู่เป็นเพื่อนนางจะได้ไม่เหงา
“เจ้าค่ะท่านย่า”
“ข้าขอตัวเจ้าค่ะ” จี้เหมยเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงได้ขอตัวจากไปทำงานในส่วนของตนเองต่อไป
หานว่านอี้นั่งกินน้ำแกงไก่ที่ป้าจี้ทำมาให้ด้วยความอร่อย นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ที่นางกินอาหารได้มากหน่อย อาจจะเพราะว่านางรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้มาอยู่ในเรือนเฉิงอี้แห่งนี้
ในวันนั้นหลังจากที่ชุยเทียนหนิงกลับมาจากพบท่านอาจารย์ใหญ่ จึงได้พูดคุยกับหานว่านอี้อย่างจริงจัง เขาโน้มน้าวสารพัดจนสุดท้ายแล้วหานว่านอี้จึงตกลงพักอยู่กับชุยเทียนหนิง โดยจะขอทำงานแลกกับที่พัก เพราะลำพังนางตัวคนเดียวบ้านก็ไม่มีอีกทั้งยังตั้งครรภ์ ต่อไปหากต้องคลอดลูกคงลำบากไม่น้อย หานว่านอี้ไม่ใช่คนโง่ที่จะดันทุรังในสิ่งที่ไม่เป็นผลดีกับตนเอง
หานว่านอี้ได้ปฏิญาณกับตนเองเอาไว้แล้วตั้งแต่วันที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ ว่าตนนั้นจะดูแลรักษาบุตรในครรภ์เอาไว้อย่างดีที่สุด และเลี้ยงดูเขาจนเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขเพื่อเป็นการชดเชยชาติที่แล้วของตนเองที่ไม่สามารถมีลูกได้ นางรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ฟังคำร้องขอของนางและส่งนางมาที่นี่ แม้ว่าภูมิหลังของเจ้าของร่างนั้นจะไม่ได้สุขสบายอะไรนัก มีชะตากรรมที่ไม่ได้ต่างไปจากตนเองเลย แต่หานว่านอี้ก็ดีใจที่อย่างน้อยนางก็ได้มีบุตรในชาตินี้
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะท่านป้าจี้” หานว่านอี้เอ่ยถามออกไปเมื่อนางได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ มามากว่าสองเดือนแล้ว ตอนนี้ครรภ์ของหานอี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ห้าแล้ว
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ อาจารย์ชุยกำชับเอาไว้ว่าอยากให้ท่านพักผ่อน นายหญิงควรอยู่นิ่ง ๆ นะเจ้าคะเพื่อทารกในครรภ์” จี้เหมยเอ่ย นางเองก็เกรงใจที่จะค้านหานว่านอี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อชุยเทียนหนิงผู้เป็นนายสั่งเอาไว้ แม่นมอย่างนางก็มิอาจขัด
“ข้าเบื่อนี่เจ้าคะ ให้ข้าได้ช่วยหยิบจับอะไรสักเล็กน้อยก็ยังดี ขอร้องเถอะนะเจ้าคะท่านป้าจี้” หานว่านอี้มองด้วยแววตาอ้อนวอน นางไม่อยากงอมืองอเท้ากิน ๆ นอน ๆ อยู่บนเรือนของคนอื่นเช่นนี้ มันดูไม่ดีเอาเสียเลย
“ให้นางทำเถอะแม่นม ถ้าแค่หยิบจับล่ะก็คงไม่เป็นไร” ชุยเทียน หนิงที่เดินมาได้ยินพอดิบพอดีเอ่ยกับแม่นมจี้เหมย แม้ใจเขาจะไม่อยากให้หานว่านอี้ต้องหยิบจับอะไรและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย ๆ แต่ก็มิอาจห้ามได้ตลอด นางคงจะเบื่อน่าดูที่ต้องอยู่เฉย ๆ ช่วงนี้เขาเองก็ยังไม่ว่างพานางออกไปไหนเสียด้วย
“ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะคุณชายชุย”
“เรียกข้าเทียนหนิงเถิด” ชุยเทียนหนิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เขาอยากสนิทสนมกับนางให้มากกว่านี้เผื่อว่าจะมีโอกาสพิชิตใจนางบ้าง
“งั้นท่านก็เรียกข้าว่าว่านอี้สิเจ้าคะ” หานว่านอี้เอ่ยกลับ นางรู้สึกสบายใจทุกคราที่ชุยเทียนหนิงอยู่ใกล้ ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นคนดีหรือเพราะจิตใจของนางมันเริ่มสั่นคลอนกันแน่
“เช่นนั้นเป็นอันว่าเราสนิทกันมากขึ้นแล้วใช่หรือไม่” ชุยเทียนหนิงกล่าว
“ข้าก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนต่างเผยรอยยิ้มให้แก่กัน บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข ชุยเทียนหนิงรู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่นางผู้นี้ และเขาก็อยากจะเป็นรอยยิ้มให้นางไปตลอด ไม่อยากให้นางต้องทุกข์ใจหรือหวาดกลัวอันใดอีก แม้ว่าเขาจะเพิ่งพานพบกับนางได้ไม่นานก็ตาม
ชุยเทียนหนิงตัดสินใจแล้วว่านับแต่นี้ไปเขาจะรุกหน้าเกี้ยวพาหานว่านอี้ให้จงได้ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของนางเขาก็ยิ่งอยากจะรู้จักให้มากยิ่งขึ้น และรู้สึกโกรธแทนทุกคราที่นึกถึงสามีเก่าของนาง ไต้เว่ย บุรุษใจร้ายที่ขับไล่สตรีไร้ที่ไปออกมาได้ลงคอ...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?