หลังจากโทรไปรบกวนคนรู้จักตอนตีสามแล้ว นัทธมลก็ซื้อขนมเล็กน้อย ก่อนกลับขึ้นไปนอนเฝ้าฟ้าณดาในห้องผู้ป่วย
และเช้าวันต่อมา เธอก็บอกข่าวดีกับเพื่อนรักทันที
“จริงเหรอแนท” ฟ้าณดามีสีหน้าตื่นเต้นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ
“จริงสิแก” นัทธมลพูดพลางยืดอกภูมิใจ “พี่จีจี้เป็นผู้จัดการนางแบบนายแบบที่เก่งมากเลยนะ ป้อนงานให้เด็กในสังกัดตัวเองไม่ขาด แล้วเขาก็สนิทกับฉันมากเพราะชอบใช้ฉันไปทำงานให้บ่อย ๆ รับรองว่างานนี้แกกับเด็ก ๆ มีทางรอดชัวร์”
บางครั้งนัทธมลก็รับงานเสริมเป็นการถ่ายแบบบ้าง ถ่ายโฆษณาบ้าง ไม่แปลกที่เธอจะรู้จักคนในวงการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ได้ยินข่าวดีแต่เช้าอย่างนี้ ฟ้าณดาก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา
และเพราะว่าตลอดมาเธอเครียดกับเรื่องนี้ กังวลจนคิดอะไรไม่ออกอยู่นาน เมื่อได้รับความช่วยเหลือหยิบยื่นมาจากเพื่อนรักเหมือนเคยแล้ว เธอก็ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ถ้าฉันไม่มีแก ฉันต้องแย่แน่ ๆ เลยแนท”
“แกอย่ามาทำให้ฉันซึ้งแต่เช้าสิ ไม่งั้นฉันร้องไห้จนหน้าบวมขึ้นมาจะทำยังไง” นัทธมลเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น พอเพื่อนเริ่มสะอึกสะอื้น เธอก็เริ่มจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน
“ก็ฉันดีใจนี่” ฟ้าณดาโผเข้ากอดเพื่อน ก่อนที่นัทธมลจะว่าให้ “พอแล้ว ๆ ได้เวลาไปให้นมลูกแล้วมั้งแกน่ะ อย่ามามัวร้องไห้จนตาบวมอย่างนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยพี่จีจี้ติดต่อมาแล้วเห็นหน้าแกจะตกใจเอา”
“อื้อ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”
ฟ้าณดาเตรียมตัวไปให้นมลูกอีก และอีกไม่นานเธอก็ต้องเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลด้วย เรียกว่ายุ่งเสียจนนัทธมลต้องเหนื่อยช่วยเหลือทุกอย่าง
แต่ไม่ใช่นัทธมลไม่เต็มใจ เธอรู้ว่าการเป็นคุณแม่มันเหนื่อยแค่ไหน จากการที่อยู่เคียงข้างฟ้าณดามาตลอดหลายเดือน ฉะนั้นเรื่องอะไรที่ทำให้ได้ก็อยากทำทั้งนั้น
เมื่อออกจากโรงพยาบาล กลับมาอยู่ที่หอพักแล้ว นัทธมลก็ยังคงตามมาอยู่ด้วย เพราะช่วงระยะสี่ถึงหกสัปดาห์แรกเป็นช่วงที่คุณแม่หลังคลอดต้องพักฟื้นร่างกาย เธอเป็นห่วงว่าถ้าฟ้าณดาต้องอยู่เลี้ยงลูกแฝดเพียงลำพังแล้วจะลำบากมากกว่าเดิม เลยมาคอยช่วยดูแลชั่วคราว
“ขอบคุณแกมากนะแนท”
ฟ้าณดาพูดขอบคุณเพื่อนด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย หลังจากที่พึ่งป้อนนมลูกแฝดไป
เพราะเด็กแรกเกิดมักจะตื่นขึ้นมาร้องงอแงหิวนมทุก ๆ สองสามชั่วโมง เลยทำให้คนเป็นแม่แทบไม่ได้พักผ่อนเลย สภาพของเธอเลยดูอิดโรยมาก
ส่วนนัทธมล ตอนนี้หญิงสาวกำลังจะหิ้วตะกร้าผ้าลงไปซักตรงเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของหอพักให้ ซึ่งเธอก็ได้แต่หันมาพูดคำเดิม “แกจะขอบคุณทำไม เรื่องแค่นี้เอง”
สำหรับนัทธมล การได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนสำคัญกว่าความลำบากอยู่แล้ว
นอกจากซักผ้าทำกับข้าวแล้ว เธอยังคอยดูแลเรื่องซื้อของ บางครั้งก็ช่วยชงนม ต้มขวดนมด้วย เรียกว่าเธอพยายามจะให้ฟ้าณดายุ่งอยู่กับแค่เวลาให้นมลูกเท่านั้น
“ฉันได้ทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าได้ฝึกซ้อมเป็นคุณแม่ไปในตัวด้วยไง”
นัทธมลมองโลกในแง่ดีเสมอ และคำพูดของเธอก็ทำให้ฟ้าณดาต้องเผยยิ้มกว้างกว่าเดิม
ซ้อมเป็นคุณแม่อะไรกัน... ตอนนี้นัทธมลเอาแต่ทำงาน ใครเข้ามาจีบก็ปฏิเสธหมด แล้วเธอจะมีสามีกับเขาได้เมื่อไร
ฟ้าณดารู้ดี เพื่อนเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ถึงได้ทำงานในวงการแบบนี้ได้ แต่เพราะเธอช่างเลือกมาก ๆ เช่นกัน เลยกลายเป็นว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่ดี ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ตรงสเปค สุดท้ายก็อยู่เป็นโสดมาตลอด
นัทธมลก็เหมือนเธอนั่นแหละ ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยในชีวิต..
เมื่อเพื่อนหิ้วตะกร้าผ้าลงไปแล้ว ฟ้าณดาก็หันมาเปิดแล็ปท็อปที่เธอใช้ทำงานประจำ เริ่มร่างแบบเสื้อผ้าตามที่อรอุมาส่งบรีฟมาให้
ช่วงนี้อรอุมาและณิชาก็ถามไถ่เรื่องสุขภาพของเธออยู่ตลอด ยังพยายามไม่โยนงานให้เยอะจนเกินไปด้วย เพราะเข้าใจว่าฟ้าณดาเหนื่อยขนาดไหน
“เฮ้อ.. เสร็จสักที”
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ฟ้าณดาจะร่างแบบต่อจากที่ทำไว้เมื่อวานเสร็จ เธอกดส่งงานไปให้อรอุมาทันที หลังจากนั้นก็ว่าจะเอนหลังนอน
“อุแว้!!!”
เสียงเด็กร้องปลุกคุณแม่ที่พึ่งล้มตัวนอน แล้วยังทำให้เด็กแฝดอีกคนตื่นขึ้นมาร้องเพิ่มระดับให้ดังกว่าเก่า ฟ้าณดาต้องรีบเข้าไปโอ๋ลูกน้อยทั้งสองทันที
“ไม่ร้องนะคะคนเก่งของแม่ ไหนดูซิ..”
เธอดูข้างในผ้าอ้อมของอาเบลและก็พบว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว ส่วนไอเดนยังได้อยู่ แค่ร้องเพราะตกใจเสียงน้องชายเท่านั้น
เมื่อจัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เรียบร้อยแล้ว เธอก็กล่อมแฝดพี่ให้หลับไปด้วยกันอีกรอบ พอทุกอย่างสงบลงนั่นหละถึงจะได้พัก
ก๊อก ๆ ๆ...
ได้พักซะที่ไหนล่ะ
หญิงสาวต้องหอบสังขารอันอ่อนล้าไปเปิดประตูรับแขกที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ขอโทษนะคะ แต่เสียงเด็กร้องมันดังมากเลย คือนอนไม่ได้กันเกือบทั้งชั้นเลยน่ะค่ะ”
เพื่อนบ้านสาวห้องข้าง ๆ บอกฟ้าณดาด้วยสีหน้าคล้ายรำคาญและอารมณ์เสียนิด ๆ
ไม่แปลกที่จะมีเพื่อนบ้านมาร้องเรียน เพราะหอพักนี่มันราคาถูกมาก โครงสร้างก็ไม่ดีตามราคาค่าเช่านั่นแหละ ถ้ามีเสียงเด็กร้องขึ้นมาทีหนึ่ง ข้างห้องก็ต้องไม่ได้พักผ่อนเหมือนกัน
“ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ” ฟ้าณดาคงทำได้เพียงกล่าวคำขอโทษ เธอไม่ได้ตั้งใจรบกวนเพื่อนบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเช่นกัน เพราะนี่เป็นเรื่องธรรมชาติของเด็กแรกเกิด
“ถ้าคราวหลังคุณช่วยระวังไม่ให้เด็กร้องดังเกินไปจะดีมากเลยนะคะ ทางนี้ก็ต้องการนอนหลับพักผ่อนเหมือนกัน”
อา.. มันเป็นเรื่องปกตินั่นแหละที่บางคนจะไม่เข้าใจ
ฟ้าณดาได้แต่ทำหน้ารู้สึกผิด แล้วก็พูดเหมือนเดิม “ค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ”
เมื่อต่อว่าจนพอใจแล้ว เพื่อนบ้านคนนั้นก็ทำท่าจะกลับไป แต่ต้องหันมาเจอนัทธมลที่ยืนกอดอกมองอยู่ตรงนั้นก่อน
“อะไรคะ”
คนข้างห้องมองกลับอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน นัทธมลก็ยิ่งเหมือนจะโมโหกว่าเดิม
“คนไม่เคยมีลูก ไม่เข้าใจหรอกว่าคนเป็นแม่มันลำบากขนาดไหน” เธอว่า เพื่อนบ้านก็ถลึงตาจ้องอย่างไม่ยอมแพ้ “ก็เข้าใจว่าลำบาก แต่อย่าให้มันเดือดร้อนคนอื่นสิ อย่าคิดว่าเป็นอินฟลูฯ ดังแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ”
ดูท่าสถานการณ์ตรงนี้เริ่มจะไม่ดีแล้ว ฟ้าณดาต้องรีบออกมาห้ามระหว่างกลางทั้งสองคน
“อย่าไปว่าเขาเลยแนท ฟ้าผิดเองแหละ” เธอหันไปบอกเพื่อนอย่างนั้น ก่อนจะหันกลับมาทางเพื่อนบ้าน “ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ อย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ”
ก็ยังดีที่ฟ้าณดาไม่ใช่ประเภทชอบก่อปัญหา แต่บางครั้งนัทธมลก็เหนื่อยใจกับความยอมคนของเธอ
เมื่อเป็นแบบนี้ เพื่อนบ้านจะเอาเรื่องต่อก็คงดูแย่เกินไป เธอเลยเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง ปล่อยคุณแม่ลูกสองกับเพื่อนของคุณแม่ที่ทำหน้าบูดไว้ตรงนั้น
“ฟ้า ทำไมแกยอมแบบนี้ เด็กร้องมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ” นัทธมลรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ แต่ฟ้าณดากลับส่ายหน้าน้อยๆ
“เอาชนะไปก็ไม่เห็นได้อะไรนี่แนท อีกอย่าง ถ้าเขาเอาเรื่องนี้ไปว่าเราในโซเชียลแบบเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ใช่แค่ฉันที่จะแย่ แกเองก็อาจจะดูไม่ดีไปด้วยนะ”
เธอคำนึงถึงเรื่องชื่อเสียงของเพื่อนมากกว่าตัวเองอยู่แล้ว โลกสมัยนี้มีข่าวอะไรก็กระจายไปทั้งประเทศอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากให้นัทธมลต้องมาเดือดร้อนเพราะเธอ
“ไว้ฉันค่อยไปหาบ้านเช่าราคาถูกอยู่แล้วกัน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะรบกวนรอบข้างมาก”
ฟ้าณดาตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างนั้น ถึงอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วปล่อยให้ปัญหามันบานปลายไปมากกว่านี้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?